ผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับสมมุติฐานมาบ้างแล้วข้างต้น และนานมาแล้ว แต่เรื่องของมันมีมาก แต่เมื่อคิดอะไรได้ใหม่ๆ มุมมองแปลกๆก็จะบันทึกไว้ และไม่เก็บไว้คนเดียวครับ แบ่งปัญกันไปเรื่อยๆ เพื่อว่าใครจะได้คิดต่อ หรือวิพากษ์ ก็ได้
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีข่าวจากทีวีสองเรื่องคือ เรื่องปลาตายในลำคลองสาธารณโดยไม่รู้สาเหตุ และเรื่องเกิดไฟไหม้บ้านโดยไม่รู้สาเหตุเช่นกัน แต่วันนี้จะคิดเฉพาะเรื่องหลัง
เรื่องมีว่า บ้านของสตรีผู้หนึ่ง ลังเล็กๆ ปลูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่มากต้นหนึง จากภาพ คงจะเป็นชนบทในบางแห่งของไทย บ้านห่างจากต้นไม้ราว ๗-๑๐ เมตร ต้นไม้ใหญ่นั้นมีผ้าเหลืองห่มไว้รอบต้นด้วย เหตุการณ์ก็คือ อยู่ๆก็มีไฟลุกติดขึ้นในที่ต่างๆ บ่อยๆ หลายครั้ง โดยไม่รู้สาเหตุ บางครั้งเกิดลุกไหม้ที่เสื้อผ้า บางครั้งที่ตู้ เตียง บางครั้งจากผนังซีเมนต์ ดูเจ้าของบ้านกลัวมาก
เหตุการณ์เช่นนี้เป็น "ปัญหา" เป็นปัญหาเพราะว่า "เราไม่รู้" เราจึง "อยากรู้" ถ้าเรารู้คำอธิบาย ปัญหาก็หมดไป
เมื่อมีปัญหา ก็ต้อง "คิด" หา "คำตอบ" คราวนี้เป็นบทบาทของนิวโรนในสมอง สมองเหล่านั้นจะเก็บ "ความรู้ในอดีต" เอาไว้ในบางรูปแบบ ถ้าสมองนั้น"เก็บความรู้ประเภทภูตผีปีศาจ นิยายเกี่ยวกับสวรรค์นรก" เอาไว้ ก็จะ "คิดตอบปัญหา" นี้เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าสมองก้อนนั้น "เก็บความรู้ประเภทวิทยาศาสตร์" เอาไว้ ก็จะ "คิดตอบคำถาม"อีกอย่างหนึ่ง เช่น คนแรกอาจจะ "คิดว่า เพราะว่าที่ต้นไม้นั้นมีเจ้าที่สิงสถิตย์อยู่ เจ้าของบ้าน ไปรบกวนท่าน จึงบันดาลให้เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเพื่อลงโทษ" คำอธิบายนี้เป็นประเภท "เหนือธรรมชาติ" ในขณะที่ สมองก้อนหลัง "คิด และอธิบายว่า เป็นเพราะแก๊ซนั่นๆ ทำปฏิกริยาทางเคมีกับอันนั้นๆ จึงเกิดการสันดาบขึ้น"
คำอธิบายทั้สองนี้เป็น "ส่วนใหญ่" หรือ "ส่วนรวม" จาก "ส่วนใหญ่ที่ใหญ่กว่า" ในสมองทั้งสองก้อนนั้น คำอธิบายเช่นนี้จัดเป็นคำอธิบายประเภท "ทฤษฎี" (โปรดดูบล็อกชื่อ Empirical Theories) แต่ทำหน้าที่เป็น "คำตอบล่วงหน้า" เรายังไม่รู้ว่าถูกหรือผิด จึงต้อง "ทดสอบ" เมื่อ "มันต้องการการทดสอบ" เราจึงเรียกว่า "สมมุติฐาน" โดยการไปเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์มาวิเคราะห์ จนสุดท้ายได้คำตอบว่า "อันไหนถูก-ผิด"
ด้วยเหตุดังกล่าวมา คำทฤษฎีและสมมุติฐานจึงเรียกชื่อกับค่อนข้างจะสับสนบ่อยๆ
กระบวนการวิจัยก็เกิดขึ้น กระบวนการวิจัยเริ่มต้นตั้งแต่ "เราสังเกตุธรรมชาติ, เกิดปัญหา, ตั้งสมมุติฐาน, เก็ลข้อมูล, วิเคราะห์ข้อมูล, สรุปเป็นความรู้" เป็นกระบวนการค้นหาความรู้ล้วนๆ เราจึงจัดเป็นการวิจัยประเภท "การวิจัยบริสุทธิ์" (Pure Research) ความรู้ที่ได้ก็เป็น "ความรู้บริสุทธิ์" (Pure Knowledge) นักวิทยาศาสตร์ก็เรียกว่า "นักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์" (Pure Scientist)
คราวนี้ เราต้องการที่จะ "นำความรู้นี้ไปใช้" โดยเรานำความรู้นี้ไปแนะนำชาวบ้านให้สร้างบ้านอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ เราเรียกว่า การวิจัยประยุกต์ หรือ เทคโนโลยี
อันที่จริงผมจะเขียนเรื่องของสมมุติฐาน แต่เห็นว่า เรื่องมันต่อเนื่องกัน จึงถือว่าเป็นผลพลอยได้เสียก็แล้วกันครับ