"การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเองนะ หลวงพ่อจะบอกให้ หลวงพ่อเองตอนอยู่กับโลก ก็ไม่ได้เป็นรองใครหรอก อยู่ในโลกก็มีความสุข แต่แล้วก็พบว่า ความสุขของโลกนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเลย..."
เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ดังขึ้นจากแผ่นซีดี เสมือนว่าท่านกำลังพูดกับเราขึ้นมา........
โดนค่ะ โดนไปเลย
น่าคิดนะคะ ลงทุนเรียนหนังสือ ลงทุนทำธุรกิจ ลงทุนเล่นหุ้น ลงทุนต่างๆนานาได้ ใช้เงินมากมาย แต่แค่ลงทุนง่ายๆอ่านหนังสือธรรม ฟังธรรม (มีแจกฟรี) ดูรายการธรรม กลับทำกันไค่อยได้ เพราะเอาเวลากับแรงไปลงทุนเรื่องอื่นกันหมด แล้วอย่างนี้เราจะสามารถตัดวงจรความทุกข์ทั้งหมดในชีวิตได้อย่างไรค่ะ น่าคิดนะคะ ลงทุนให้กับชีวิต
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" 555
วารสารธรรมใกล้ตัว ฉบับที่ ๐๒๙ พฤหัสบดีที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
http://www.dungtrin.com/mag/?29#
จากใจบก.ใกล้ตัว - กลางชล
สวัสดีค่ะ
ใจฉุกคิดวาบอีกครั้ง...
การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเอง
นี่ต่างหาก คือการลงทุนที่สำคัญ การลงทุนที่มีผลที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตรออยู่ข้างหน้า
หลายคนในโลกนี้ คิดแต่เพียงวางแผนการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางการเงิน
เพราะคิดว่า "เงิน" คือปัจจัยสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสุข
แต่แทบจะไม่มีใครมองเห็นเลยว่า
ความสุขที่ได้สัมผัสกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นของชั่วคราวทั้งสิ้น
ความสุขอันนี้หมดไปครั้งหนึ่ง ก็วิ่งล่าไขว่คว้าหาความสุขอันต่อไปกันอีกครั้งหนึ่ง
อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ถ้าเราเอนท์ติดคณะนั้นคณะนี้ เราจะมีความสุข...
ถ้าเรียนจบแล้ว เราจะมีความสุข... ถ้าได้เรียนต่อปริญญาโทด้วย เราจะมีความสุข...
แล้วเราก็พบว่ามันก็อย่างนั้น ๆ จบมาแล้วก็ไม่เห็นจะสุขได้นานสักเท่าไหร่
ต่อไปอีก ถ้าได้งานดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าได้เงินเดือนเยอะ ๆ เราจะมีความสุข...
ถ้าตำแหน่งใหญ่ ๆ อีก เราจะมีความสุข... ถ้ามีแฟนสักคน เราจะมีความสุข...
ถ้ามีครอบครัวดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าลูกเราประสบความสำเร็จ เราจะมีความสุข...
กระทั่งพอแก่ไป เจ็บป่วยทรมาน นอนทำอะไรไม่ได้แล้วอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล
ยังว่า ถ้าตายไปเสียได้ คงจะมีความสุข... หลวงพ่อท่านเคยฉายภาพให้ฟังอย่างนั้น
การที่เราทะยานวิ่งไล่คว้าความสุขด้วยแรงผลักดันของกิเลสอยู่ตลอดชีวิต
ก็ไม่ต่างอะไรกับลาที่เอาแต่จดจ้องเดินไปข้างหน้า เพื่อไล่คว้าแครอทที่ปลายไม้
โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันจะไม่มีวันเอื้อมคว้าแครอทนั้นมาเข้าปากได้เต็มคำอย่างแท้จริง
เมื่อไม่มีใครมองเห็นความสุขที่เหนือกว่า กระทั่งว่าสามารถตัดวงจรความทุกข์ทั้งหมดได้
ก็ไม่มีใครคิดแสวงหาวิธีการลงทุนเพื่อเป้าหมายสูงสุดเช่นนั้น
มีใครเคยอ่านหนังสือชื่อดังเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad) ไหมคะ
มีอยู่ตอนหนึ่ง ที่ผู้เขียนเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์เงินเดือนเหมือน "สนามแข่งหนู" (Rat Race)
เขาเปรียบวลี "สนามแข่งหนู" เสมือนกับวังวนของการเป็นลูกจ้าง
ที่ต่างคนก็เหมือนสาละวนวิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย ด้วยอาการตะเกียกตะกายของ "หนู"
คือวิ่ง ๆ ๆ ทำงานตัวเป็นเกลียว เพียงเพื่อได้รับเงินเดือนตอบแทนพอกินพออยู่ไปวัน ๆ
ผู้เขียนบอกว่า แม้จะมีคนเห็นช่องทาง ชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากสนามแข่งหนูแห่งนี้ให้
แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าอิสรภาพทางการเงินเช่นนั้นมีอยู่จริง
และน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะลุกขึ้นมาจนดีดตัวออกมาจากสนามแข่งนี้ได้
หนังสือชื่อดังเล่มนี้ แนะนำคนอ่านให้หนีให้พ้นจาก "สนามแข่งหนู"
หรือหลุดออกจากการมีชีวิตอยู่ด้วยเงินเดือนประจำ จากการเป็นลูกจ้าง
ด้วยกลยุทธ์ "ให้เงินทำงาน" แทนที่เราจะเหนื่อยทำงานเพื่อหาเงินไปชั่วชีวิต
อันที่จริง ชีวิตมนุษย์เรา ก็ไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งหนูอย่างที่ว่าไว้นั้นนักหรอกนะคะ
ถ้าถอยขึ้นมามองอีกชั้น แม้จะออกมาจากสนามแข่งหนูได้แล้ว มั่นคงทางการเงินแล้ว
เราก็ยังติดอยู่กับสนามแข่งมหึมาของสังสารวัฏ ที่หนีสุขทุกข์ หนีการเวียนเกิดเวียนตายไม่พ้น
แทบจะไม่มีใครเคยมองเห็นว่า เราก็เหมือนหนูที่ติดกับดักอยู่ในสนามนั่นแหละ
ดิ้นรน ตะเกียกตะกายวิ่งไล่หาความสุขกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แล้วก็พอใจอยู่กับการได้เสพความสุขหยาบ ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง
แม้จะมีบรมครูผู้ประเสริฐชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากวงจรแห่งการเวียนเกิดเวียนตายนี้ให้
แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าการพ้นทุกข์ทางใจโดยสิ้นเชิงได้เช่นนั้นมีอยู่จริง
และน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะเพียรพยายามจนดีดตัวพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้
คุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้อ่านนิตยสารเล่มนี้ ต้องถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก ๆ นะคะ
เพราะมีโอกาสได้รู้จักและสนใจ "กลยุทธ์หลุดพ้นจากทุกข์ทางใจ โดยไม่กลับกำเริบอีก"
ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ และยังคงไม่ล้าสมัยเลย แม้จะล่วงเลยกว่าสองพันมาปีแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่อาจจะยังขาดสำหรับหลาย ๆ คนก็คือ การลงทุนศึกษาธรรมะ
ทั้งด้วยการทำความเข้าใจ และการลงมือปฏิบัติให้ประจักษ์ด้วยตนเองเท่านั้น
ถ้าใครเคยได้ยินโฆษณาของกองทุน เขาจะต้องมีประโยคที่อ่านเร็ว ๆ ปิดท้ายนะคะว่า
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน" : )
ธรรมะก็เหมือนกันนะคะ ถ้าจะเริ่มต้น ก็ควรต้องศึกษาให้เข้าใจหลักการและวิธีก่อน
เพราะความเสี่ยงก็มีอยู่ตรงที่ ถ้าจับหลักผิด หรือไปยึดถือศรัทธาในแนวทางที่ไม่ถูกตรง
เราก็มีสิทธิ์ดำเนินชีวิต หรือปฏิบัติไปด้วยความผิดเพี้ยน แล้วนับวันก็จะยิ่งออกอ่าว
ลากเราห่างไปจากเป้าหมาย จนสุดท้าย อาจต้องขาดทุนอีกยาวกว่าจะเจอทางที่แท้จริง
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนอันไหนเป็นทางตรง เป็นทางที่แท้จริง?
ขอให้เราศึกษาและยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักให้แม่นไว้ดีที่สุดค่ะ
ธรรมะรุ่นหลัง ๆ นั้น มีการตีความ แปลความหมาย และแต่งตำรากันออกมามากมาย
ถ้าไม่แน่ใจ ขอให้เปิดพระไตรปิฏกเทียบเคียงดูว่า เป็นวจนะของพระพุทธเจ้าจริง
หรือดูเบื้องต้นว่า คำสอนนั้น เป็นไปเพื่อการลดละกิเลส เป็นไปเพื่อความเล็กลงของตัวตน
ให้การปฏิบัตินั้นอยู่ในขอบเขตของกายใจ เป็นไปเพื่อละวางความเห็นผิดว่าตัวตนนั้นเป็นเรา
กลยุทธ์การจัดพอร์ทการลงทุน สำหรับคนที่มีเป้าหมายเป็นอิสรภาพทางใจอย่างถาวรนั้น
ถ้าใครเริ่มสนใจเริ่มต้น ก็ขออนุญาตแนะนำให้จัดสรรการลงทุนเป็น ๓ ส่วนนะคะ : )
คือ การทำทาน การรักษาศีล และการภาวนา
โดยมีเงื่อนไขพิเศษคือ ลงทุนไปแล้ว ห้ามหวังผลตอบแทนนะคะ : )
เพราะผลที่รอให้เราเก็บเกี่ยวนั้น มันจะมาเองตามเหตุปัจจัยที่ได้ทำ
สั่งให้เกิด ก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ แถมยิ่งโลภอยากได้มาก ผลตอบแทนยิ่งน้อยลง
หากรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยทำทาน หรือยังไม่ได้ทำทานจนเป็นนิสัย
ก็ลองหมั่นหัดให้ออกมาจากใจ วันละเล็ก วันละน้อย โดยทำความเข้าใจไว้แต่ต้นก่อนว่า
การทำทาน เป็นการสละความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากใจ
ไม่ใช่ทำเพื่อชื่อเสียงหน้าตา ไม่ใช่เพื่อล้างซวย หรือกระทั่งเพื่อโลภเอาบุญ
แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรวยก่อนถึงจะให้ได้ และไม่จำเพาะว่าจะต้องเป็นเงินเท่านั้นนะคะ
แต่เล็งแล้วว่าสิ่งที่เราอยากให้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นของเล็กของน้อย
การบริจาคโลหิต อวัยวะ แรงกาย แรงใจ ความรู้ ธรรมทาน หรือกระทั่ง การให้อภัย
ให้จนเหมือนจิตแผ่เมตตาออกไปก่อน อยากให้ก่อน เจอใครอยากได้อะไรค่อยว่ากันอีกที
อย่างนี้ ก็จะทำให้จิตอยู่ในสภาพที่สงบลงและเปิดกว้างเป็นธรรมชาติเบื้องต้น
ถัดมา รักษาศีล ให้ศีลเป็นเรื่องปกติของชีวิต ศีล ๕ นี่ล่ะค่ะ...
ศีลจะเป็นเสมือนกรอบล้อมรั้ว ไม่ให้เราล่วงเกินผู้อื่น ทั้งด้วยกาย และด้วยวาจา
แล้วเมื่อเราเป็นผู้ไม่ก่อเหตุแห่งเวรภัย ประตูสู่อบายก็ย่อมปิดแคบลง
เท่ากับศีลจะช่วยรักษาเราให้อยู่ในเส้นทางที่จะไม่ไหลลื่นลงต่ำได้ทางหนึ่ง
และศีลก็จะเป็นเครื่องหนุนให้จิตเรามีความสงบตั้งมั่น เอื้อต่อการภาวนาต่อไปค่ะ
แต่การ "ไม่ผิดศีล" กับการตั้งใจ "รักษาศีล" นั้นก็ต่างกันนะคะ
วันนี้ เราอาจโชคดีที่มีอันจะกิน เลยไม่มีช่องให้คิดจะลักทรัพย์ใคร ดูแล้วก็เหมือนมีศีล
แต่ถ้าวันหนึ่งเราเป็นเด็กข้างถนนหิวโซ เห็นเงินวางอยู่จะ ๆ ตรงหน้า เราจะหยิบหรือไม่?
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงชาวนาคนหนึ่งนะคะ ในฤดูที่พืชผักไม่ออกผล
คนอื่นเขาพากันไปตกปลาหาเลี้ยงครอบครัว แต่ชายคนนี้ ไม่ยอมไปตกปลากับเขา
เลี้ยงลูกเลี้ยงตัวมาด้วยน้ำจนตายไป คือยอมตายไปเสียดีกว่าต้องฆ่าชีวิตอื่น
เรียกว่ารักษาศีลยิ่งชีพ การเป็นผู้รักษาศีลสัตย์ตลอดชีวิตนั้น นับว่าเป็นบารมีที่ให้ผลมาก
เพราะฉะนั้น มีสติและ "ตั้งใจ" เป็นผู้มีศีลกับตัวเองให้เป็นปกติกันไว้นะคะ
สุดท้าย แบ่งเวลาให้กับ การภาวนา ซึ่งไม่ได้แปลว่าการสวดมนต์อ้อนวอนนะคะ : )
แต่ "ภาวนา" แปลว่า การทำให้เจริญ คือการฝึกหรือพัฒนาให้เจริญขึ้น ซึ่งมีหลัก ๆ ๒ อย่าง
อย่างแรก ภาวนา แบบสมถะ อันนี้มุ่งเอาความสงบเป็นหลัก
เป็นการจับลิงที่ซุกซน อยู่ไม่สุข ไปโน่นมานี่ตลอดเวลา (คือใจของเราเอง) : ) ให้สงบนิ่ง
ด้วยการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่น นั่งสมาธิดูลมหายใจไปก็ได้ พุทโธไปก็ได้
ที่ฟุ้งซ่านก็จะสงบ ที่เร่าร้อนก็จะสบาย ที่เป็นอกุศลก็จะเปลี่ยนเป็นกุศล
แต่ถ้าเจออะไรกระทบหน่อยเดียว เดี๋ยวก็วิ่งหนีไปหลบอยู่ในถ้ำของความสงบทุกที
แบบนี้ก็เห็นทีจะชนะกิเลสไม่ได้เสียทีหรอกค่ะ เราต้องออกไปเผชิญกับมันตัวต่อตัวด้วยค่ะ!
นั่นก็คือ การภาวนาอย่างที่สอง ที่สำคัญและควรเจริญให้มาก คือ แบบวิปัสสนา
ซึ่งการเป็นภาวนาที่มุ่งเจริญปัญญาเพื่อให้เห็น "ความจริง" ของกายและใจ
วิธีการก็คือ หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัวให้บ่อย ๆ แต่คราวนี้ไม่ต้องไปบังคับลิงให้นิ่งแล้วนะคะ : )
เพราะเป้าหมายคือ เราต้องการเห็น ความจริงของกายของใจ อย่างที่มันเป็นจริง ๆ
เริ่มต้นก็คอยทำความรู้จักกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในกาย ภายในใจ ของเรานี้
กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ก็รู้... มีความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย ๆ เกิดขึ้น ก็รู้...
มีราคะ โทสะ โมหะผุดขึ้น ก็รู้... มีสภาวธรรมใด ๆ เกิดขึ้น ก็รู้...
คือพอมันเกิดแล้วก็รู้ให้ทันไว ๆ อย่างเป็นกลาง อย่างเป็นคนวงนอกนั่งดูละครเรื่องกายใจ
อย่าโดดเข้าไปเล่นด้วย อย่าไปสั่งคัท อย่าไปสั่งแอ็คชั่น แต่ดูมันเปลี่ยนแปลงของมันเอง
ดูไปอย่างไม่คาดหวัง จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะเห็นเองว่า
กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา
มันเป็นเพียงของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว จะหมดความดิ้นรน
และจิตที่หมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่งนั้นเอง จะเป็นอิสระพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ดังนั้น ก็ควรฝึกควบคู่กันไปค่ะ ทำสมถะให้เหมือนพักผ่อน ทำวิปัสสนาให้เป็นงานของจริง
จะเอาแต่นอนแล้วไม่ทำงานก็ไม่ได้ ครั้นจะทำงานอย่างเดียวไม่พักเลยก็ไม่ไหว : )
ลองจัดพอร์ทของตัวเองให้สมดุล และเริ่มลงมือปฏิบัติกันดูนะคะ : )
การดำเนินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ยากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
แค่เริ่มศึกษาทำความเข้าใจ ทำตามทีละเล็กละน้อย วันต่อวัน เดือนต่อเดือน
เผลอไปแผล็บเดียว ย้อนกลับมาอีกทีอาจจะรู้สึกต่างไปเป็นคนละคนแล้วก็ได้
น่าเสียดายที่ธรรมะนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกองทุนรวม
ที่เราแค่ไว้ใจให้ใครมาบริหารให้แทน แล้วเราก็แค่รอเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
อยากได้ธรรมะของจริง ต้องลงมือศึกษาปฏิบัติ "ด้วยตนเอง" เท่านั้นนะคะ
แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ยังบอกว่า ตถาคตเป็นเพียง "ผู้บอกทาง" เท่านั้น
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกว่า "ถ้าเราภาวนาเป็น เราจะรู้เลยว่า
ถ้าหากเราไม่มีโอกาสได้ภาวนา เราจะเสียโอกาสอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิต
แต่ถ้าเราภาวนาไม่เป็นทั้งชาติ เราจะไม่รู้สึกอย่างนี้หรอก...
เราก็จะรู้สึกว่าเราโอกาสดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มันเป็นการลงทุนให้ชีวิตตัวเองนะ
ค่อย ๆ เรียนธรรมะไป ถ้าเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอก จิตใจเกิดสติขึ้นมา
เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา อีกหน่อยจะรู้เลยว่า ศาสนาพุทธนั้น มีประโยชน์มหาศาล"
ถ้าอยากร่ำรวยเงินทอง ก็ศึกษาเส้นทางของ "พ่อรวย" หรือ Rich Dad ตามอัธยาศัย
แต่ถ้าอยากร่ำรวยทางใจ ก็ขอให้น้อมรับพระพุทธเจ้าเป็นบรมครูเอก
ฟังสิ่งที่ท่านสอน ทำตามในสิ่งที่ท่านชี้แนะ มีวินัยในสิ่งที่ท่านชี้ให้ดำเนิน
แล้วเราจะมีแต่อริยทรัพย์มหาศาล ที่หาไม่ได้อีกจากที่ใด ๆ ในโลกอย่างแท้จริงค่ะ...
ใครจะลองเอาอย่างท่านเศรษฐีในครั้งพุทธกาลก็ได้นะ
จ้างลูกชายให้เข้าวัดฟังธรรม(ลงทุน)
ขออนุโมทนาที่อาจารย์เผยแพร่สิ่งดี ๆ