ศพหมาสามตัว กับวัฒนธรรมการทำงานแบบไทย ไทย


เรื่องตีหัวหมา ด่าแม่หมอ

หมาตายสามตัว...เหตุเกิดในกระทรวงสาธารณสุข

รายงานข่าวจาก ข่าวสด

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOVE13TVRFMU1nPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB6TUE9PQ==

และ Manager online

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000145361

เนื่องจากรายละเอียดของข่าวสด เยอะกว่า แต่ มีประเด็นเรื่องถวายฏีกาซึ่งหาไม่เจอจากแหล่งข้อมูลอื่น นอกจาก manager online เอาเนื้อหาข่าวมาแปะรวมกันได้ดังนี้

อนาถสั่งวางยา-ฆ่าหมาในกระทรวงสธ.

ไม่พอใจ บุกรื้อสวน ตายทุรน น้ำลายฟูม 3ตัวรวด!


เบื่อหมา - ซากสุนัขโดนวางยาเบื่อตายอนาถในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งชมรมคนรักสุนัขจรจัดเรียกร้องให้ผู้บริหารกระทรวงหยุดคำสั่งโหด โดยในช่วงไม่กี่วันมีสุนัขถูกวางยาตายไปแล้ว 3 ตัว เมื่อวันที่ 29 พ.ย.

อนาถ สั่งวางยาเบื่อหมาในกระทรวงสธ. ตายไปแล้ว 3 ตัวติดๆ กัน ในสภาพน้ำลายฟูมปาก ตัวแข็งเกร็ง ชมรมรักสุนัขจรจัด สธ.บุกร้องข่าวสด ระบุคนออกคำสั่งเป็นผู้บริหารสังกัดสนง.ปลัดสธ. อ้างไม่พอใจสุนัขชอบเข้าไปรื้อสวน พอสอบถามก็ปฏิเสธบอกแค่วางยาเบื่อหนู เผยที่ผ่านสุนัขในสธ.โดนกำจัดมาตลอด ทั้งใช้ปืนยิง รถชน วางยา โดนรปภ.แล่เนื้อกินสดๆ แกล้มเหล้าก็เคยมี เตรียมยื่นหนังสือถึงปลัดสธ.

เมื่อ วันที่ 29 พ.ย. ชมรมรักสุนัขจรจัด กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เข้าร้องเรียนกับ "ข่าวสด" ว่า มีคำสั่งจากผู้บริหารรายหนึ่ง ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.) ให้วางยากำจัดสุนัขจรจัด หรือสุนัขไม่มีเจ้าของ ที่อยู่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดมีสุนัขที่ถูกวางยาตายไปแล้วถึง 3 ตัว

นางวณีย์ สัตยารมณ์ ข้าราชการเออร์ลี่รีไทร์ ในฐานประธานชมรมรักสุนัขจรจัด สธ. เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวมาตลอดว่าจะมีการกำจัดสุนัขจรจัดใน สธ.ให้หมดไป และเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าสุนัขพันธุ์ไทย ชื่อ "สีทอง" ซึ่งเป็นที่รักของชาว สธ. เป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ เพราะน่ารัก ชอบวิ่งเล่นอยู่บริเวณหน้าเสาธง ด้านหน้าอาคารสำนักงานปลัดฯ เป็นประจำ โดยสภาพศพของสีทองน้ำลายฟูมปาก ตัวแข็งเกร็ง ซึ่งน่าจะเป็นอาการที่เกิดจากการกินยาเบื่อเข้าไป ทางชมรมจึงสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ดูแลสวนยอมรับว่า สุนัขเหล่านี้ไปรื้อสวนที่ผู้บริหารคนหนึ่งใน สป.สั่งดำเนินการไว้ จนเสียหาย จึงสั่งให้วางยาเบื่อ ต่อมาในวันที่ 27 พ.ย.ก็มีสุนัขอีกตัวตายในสภาพเดียวกัน จากสภาพศพคาดว่าในช่วงที่กำลังจะสิ้นใจคงจะดิ้นทุรนทุรายจนตกมาตายในท้อง ร่องข้างถนน ด้านหน้าอาคารสำนักงานปลัดฯ ในสภาพสุดทรมาน

นางวณีย์กล่าวว่า ทางชมรมพยายามขอเข้าพบกับผู้บริหารคนดังกล่าว เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงก็อ้างว่าสั่งให้คนสวนวางยาเบื่อเพื่อกำจัดหนู ทางชมรมเรียกร้องให้ผู้บริหารคนดังกล่าวเก็บเศษอาหารที่วางยาเบื่อหนูออกให้ หมด แต่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการใดๆ กระทั่งในช่วงเช้าวันที่ 29 พ.ย. ก็มาพบว่ามีสุนัขตายเพิ่มอีก 1 ตัว ซึ่งทำให้ทางชมรม และผู้ที่รักสุนัขใน สธ.เสียใจและรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้

"ทางชมรมนำสุนัขทั้ง 3 ตัวไปฝังแล้ว ซึ่งทุกตัวตายในลักษณะเดียวกัน คือน้ำลายฟูมปาก ตัวแข็งเกร็ง บางตัวถึงขั้นฟันหลุด เป็นลักษณะอาการที่ชัดเจนว่าจะต้องถูกวางยาแน่นอน แต่หากทางผู้บริหารไม่เชื่อทางชมรมพร้อมที่จะขุดศพนำไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ การตายที่แท้จริง เพราะการกระทำครั้งนี้ถือเป็นการทรมานสัตว์ และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นใน สธ. ซึ่งการจะมาอ้างว่าวางยาเบื่อเพื่อกำจัดหนูก็ฟังไม่ขึ้น เพราะปกติแล้วหากกระทรวงจะกำจัดหนูก็จะว่าจ้างบริษัทให้มาดำเนินการเป็น เรื่องเป็นราวอยู่แล้ว ไม่เคยใช้วิธีการนี้ อีกทั้งที่อ้างว่าสุนัขไปรื้อสวนนั้นก็ขอให้ระบุว่าเสียหายตรงไหน และชี้ตัวมาเลย แต่ปรากฏว่าก็ไม่ได้รับคำยืนยัน ดังนั้น การกระทำลักษณะนี้จึงเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุมาก" นางวณีย์กล่าว

นางวณีย์กล่าวอีกว่า สุนัขทุกตัวใน สธ.ทางชมรมแบ่งกันดูแล ให้อาหารตลอด โดยรวบรวมเงินกันซื้อเสื้อ ปลอกคอให้ใส่ นำไปฉีดยา ทำหมัน และดูแลอย่างดี ทาง สธ.ก็รับทราบมาตลอดว่าทางชมรมคอยดูแลสุนัขอยู่ และเมื่อจะมีการจัดงานพิธี หรือกิจกรรมในกระทรวงก็จะประสานมายังชมรมตลอดให้นำสุนัขไปเก็บไม่ให้กีดขวาง การจัดงาน ซึ่งทางชมรมได้ประสานกับโรงพยาบาลสัตว์จัดรถมาจับสุนัขเหล่านี้ไปไว้ที่โรง พยาบาลก่อน เมื่อเสร็จสิ้นงานแล้วก็จะนำกลับมาคืน ก็ร่วมมือด้วยดีมาตลอด จึงไม่เข้าใจว่าทำไมครั้งนี้จึงตัดสินใจกำจัดสุนัขด้วยวิธีการโหดร้ายเช่น นี้

นางวณีย์กล่าวอีกว่า สำหรับสุนัขใน สธ.นั้นเท่าที่ทราบตั้งแต่ปี 2547 มีมากเกือบ 100 ตัว แต่ก็ถูกกำจัดมาตลอด โดยในปี 2551 ก็มีการกวาดล้างครั้งใหญ่ ทั้งใช้ปืนยิงตาย รถชน วางยา ฯลฯ จนสุนัขตายไปเกือบ 50 ตัว และทราบว่า ในช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่อเมาเหล้าก็จะจับสุนัขมาแล่ เนื้อกินกันสดๆ เมื่อถูกจับได้ก็หนีไป นอกจากนั้นมีความพยายามกำจัดสุนัขเหล่านี้เป็นระยะๆ จนขณะนี้มีสุนัขเหลืออยู่ใน สธ.เพียงประมาณ 20 ตัวเท่านั้น และทางผู้บริหารและข้าราชการ สธ.ก็รู้ดีว่าทางชมรมคอยดูแลอยู่ตลอด

ประธานชมรมรักสุนัขฯ กล่าวอีกว่า วันที่ 30 พ.ย. เวลา 09.00 น. ตนและผู้แทนชมรมจำนวนหนึ่งจะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อปลัดสธ. ถึงเหตุการณ์ความโหดร้าย ทารุณสัตว์ในครั้งนี้ เพราะถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นในกระทรวง สธ.รวมทั้งเรียกร้องให้สัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก นอกจากนั้นอยากร้องเรียนต่อสังคมให้รับรู้การกระทำครั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในกระทรวง หรือหน่วยราชการอื่นๆ อีก

โดยผู้บริหารกระทรวงชี้แจงว่า ไม่มีใครเป็นคนบงการ แต่เป็นการกระทำโดยพลการของคนสวน เพราะเห็นว่าต้นไม้บางส่วนที่กำลังจัดสวนใหม่ถูกทำลาย จึงอยากให้มีการสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัด เพราะคนสวนยอมรับว่ามีคำสั่งจากผู้บริหารให้กำจัดสุนัขจริง แต่เมื่อถามไปยังผู้บริหารคนดังกล่าวกลับบอกว่าไม่ได้สั่งการ เพียงแต่ให้คนสวนวางยาเบื่อเพื่อกำจัดหนู แต่สุนัขไปกินอาหารที่ถูกวางยาเอง จนทำให้สุนัขตายไปแล้ว 3 ตัว

ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายที่จะให้กำจัดสุนัขจรจัดที่อาศัยอยู่ในกระทรวง พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปสอบสวนหาข้อมูลที่เท็จจริงของการเสียชีวิตของสุนัขซึ่งจะต้องนำผลมารายงาน ให้ทราบก่อนวันที่ 30 ธ.ค.

ส่วนอันนี้เป็นย่อหน้าสุดท้ายจาก manager online

นางวณีย์กล่าวด้วยว่า ชมรมฯ ตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 และเป็นที่ทราบกันดีของคนในกระทรวง อีกทั้งยังมีข้าราชการหลายคนที่ได้ให้ความช่วยเหลือสุนัขจรจัดเหล่านี้ ที่มีกว่า 50 ตัว โดยทางชมรมจะจัดการทำหมันให้แก่สุนัขทุกตัว หากพบสุนัขป่วยก็จะนำไปรักษา พร้อมทั้งแบ่งหน้าที่ของสมาชิกชมรมทุกคนเพื่อให้อาหารแก่สุนัขทุกตัว ซึ่งยืนยันได้ว่าสุนัขที่นี่ไม่เคยสร้างความเสียหาย เดือดร้อน หรือไปไล่กัดใคร อย่างไรก็ตาม หากพบว่าสุนัขภายในกระทรวงยังถูกกำจัดอยู่ ทางชมรมฯ และข้าราชการที่มีใจรักสุนัขจะร่วมกันลงชื่อเพื่อยื่นหนังสือถวายฎีกาต่อพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอความเป็นธรรมให้แก่สุนัข และเพื่อไม่ให้มีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

สรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ได้ดังนี้ครับ

1.มีหมาจรจัดในกระทรวงสาธารณสุขหลายสิบตัว...เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว (อย่างน้อยตั้งแต่ 2547) มีหมาจรจัดในกระทรวงเกษตรฯ หรือกรมปศุสัตว์ คงจะเป็นอีกอารมณ์หนึ่งนะครับ เผอิญมันอยู่ในกระทรวงชื่อ สาธารณสุข

2.ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การมีหมาจรจัดในกระทรวงสาธารณสุข เป็นปัญหา แม้กระทั่งชมรมคนรักสุนัขจรจัด กระทรวงสาธารณสุข ก็เห็นว่าเป็นปัญหา...มิฉะนั้นคงไม่มีกระบวนการการฉีดยา ทำหมัน ให้หมาจรจัดเหล่านั้น

3.ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบปัญหานี้ เทศบาล หรือเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ภาครัฐ หรือภาคเอกชน (ตามข่าว...การกำจัดหนูในกระทรวง เป็นหน้าที่ของบริษัทเอกชน แต่การจัดการกับหมาจรจัด...ไม่รู้เป็นหน้าที่ใคร)

4.เกิดชมรมคนรักสุนัขจรจัด ในรูปแบบอาสาสมัคร เพื่อจัดการปัญหาที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงไม่จัดการ เกิดการจัดการปัญหาในลีลาของชมรมฯ ต่อมาเกิดเหตุหมากินยาเบื่อตาย...ชมรมฯ ไม่พอใจที่หมาตาย เผอิญเรื่องนี้ไม่มีข้อหาที่สามารถไปแจ้งความได้ คุณปวีณาก็คงไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ลงเอยที่การไปร้องเรียนกับ "หนังสือพิมพ์" เพื่อหาคนรับผิดชอบ

5.ไม่มีใครออกมารับผิดชอบ โบ้ยกันไปมา ไม่ชัดเจนว่า ต้องรับผิดชอบที่หมาตาย หรือต้องรับผิดชอบที่ปล่อยให้มีหมาจรจัดในกระทรวงสาธารณสุข

6.เรื่องนี้อาจจะลงเอยที่การถวายฎีกา

หากมีคนต่างชาติต้องการเข้าใจประเทศไทยและคนไทยภายในเวลาอันสั้น ต้องยกกรณีนี้ครับ เพราะมีความเป็น ไทย ไทย ครบเครื่อง

ตั้งแต่วัฒนธรรมการจัดการปัญหาแบบ ก้ำกึ่ง (แก้ปัญหาแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น, ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า สุดท้ายวัวหายแล้วค่อยล้อมคอก) แก้ปัญหาได้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่สามารถประเมินได้ว่า ปัญหาหมดไปแล้วจริงหรือไม่ เมื่อมีปัญหาแล้วมองหาผู้มีหน้าที่จัดการรับผิดชอบ...เรามืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มีหน้าที่จัดการกับปัญหา พอร้องเรียกหาหน้าที่และความรับผิดชอบ...เราจะพบกับวัฒนธรรมแกนกลางของราชการไทย คือ วัฒนธรรมการโบ้ย ปลายทางของการโบ้ย คือการตั้งกรรมการ คุ้นๆ ไหมครับ

เข้าใจคนไทยเรื่องความอ่อนไหวเรื่องการฆ่าสัตว์ ความเป็นคนใจบุญของคนไทยที่มีเมตตาต่อสัตว์ผู้ยาก

เห็นอำนาจของสื่อมวลชน (หรือกรณีอื่นอาจเป็นคุณปวีณา) ว่าเป็นที่พึ่งได้มากกว่ารัฐในการจัดการปัญหา หนังสือพิมพ์ข่าวสด น่าจะมีอำนาจในการจัดการปัญหาหมาตายมากกว่าองค์กรภาครัฐ

เห็นประเด็นข่าวที่สามารถขายได้สังคมไทย (เรื่องที่เป็นข่าว "ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก" ตามสูตรเป๊ะๆ เลยครับ เพียงแต่ดัดแปลงนิดหน่อย เป็น วางยาเบื่อหมา แล้วก็ด่าผู้บริหารกระทรวง อาจจะลามไปถึงแม่ด้วยรึเปล่าไม่ทราบได้)

สุดท้าย...เมื่อหาที่พึ่งอื่นใดไม่ได้ ก็หวังพึ่งพระบารมี จบข่าว

จากเนื้อข่าวเรื่องหมาตายในกระทรวงสาธารณสุข สะท้อนให้เราเห็นภาพใหญ่ของวัฒนธรรมการจัดการปัญหาและระบบอำนาจแบบไทยๆ  เราเห็นอำนาจของการรวมตัวของกลุ่มคน อำนาจของศีลธรรม อำนาจของสื่อมวลชน และพระบารมี ในขณะที่รัฐ ไม่สามารถใช้อำนาจในการจัดการปัญหา (กระทั่งปัญหาเรื่องหมาๆ) ไม่มีผู้จัดการ และไม่มีผู้รับผิดชอบ มีแต่ผู้โบ้ย กับคณะกรรมการ

นึกถึงคำขวัญ ข้าราชการ คือบุคคลที่ทำให้ประชาชนชื่นใจ...วัฒนาเถิดไทย ไชโย ครับ

หมายเลขบันทึก: 317270เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2009 19:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 10:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สรุปได้ดีจังค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท