ชัยชนะของเบิ้ม
“.........วันนี้เธอมาสายอีกแล้วนะ ! มีอะไรจะแก้ตัวกับครูอีกล่ะ.......” “....เธอเรียนชั้นมัธยมแล้วนะ ! เธอไม่ใช่เด็กประถมขี้มูกโป่ง เหมือนปีก่อนแล้ว..”
“.........เธอควรทำตัวให้เหมาะสมกับได้รับทุนของโรงเรียนหน่อยซิ.......”
“.........นี่อะไรกัน ไม่เคยมาเข้าแถวทันสักวัน สร้างปัญหาให้กับครูทุกวันเลย.......”หลากหลายคำถามเสริมคำสอนของคุณครูชัยยศ ครูประจำชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ ที่กลายเป็นความเคยชินและเป็นธรรมดาเสียแล้วในความรู้สึกของเด็กชายรูปร่างเล็กผิวคล้ำที่ชื่อว่าด.ช. เบิ้ม ผ่านภพ คนนี้ ทุกครั้งที่ถูกครูป้อนคำถาม เช่นนี้ เขาฉลาดพอที่จะไม่เถียง หรือทำท่ายโสกับครูประจำชั้นเลยแววตาที่ซื่อบริสุทธิ์ ประกอบด้วยความประพฤติที่เรียบร้อย ทำให้ คุณครูชัยยศ ต้องใจอ่อนเสมอ ๆ ร่างกายมอมแมม เสื้อผ้าที่สีซีด และยับยู่ยี่ เป็นคำตอบที่แน่ชัดว่า พ่อแม่ขาดความพร้อมที่จะดูแลให้ลูกสมบูรณ์พูนสุขเหมือนเด็กอื่นๆ ในห้องเดียวกัน
ความซื่อบริสุทธิ์ทำให้เบิ้มรอดจากการถูกลงโทษทุกครั้ง เมื่อเขาบอกเหตุผลในการมาสายให้กับครูประจำชั้นฟังว่า... “ผมตื่นนอนตีสี่ทุกวันครับ ผมไปช่วยแม่เข็นผักที่ตลาดก่อน เพราะตอนเช้าของเยอะ แม่ผมเข็นไม่ไหว แม่ผมไม่ค่อยแข็งแรง ผมสงสารแม่ครับ........”ความเอื้ออาทรห่วงใยระหว่างครูกับลูกศิษย์เกิดขึ้นจากมโนธรรมบนพื้นฐานของความเมตตากรุณาปราณี ที่บริสุทธิ์ โดยไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลง เฉกเช่นเบิ้มกับคุณครูชัยยศ ครูประจำชั้นของเขา ประวัติของเบิ้มพร้อมทั้งฐานะทางบ้าน คือข้อมูลที่ทำให้ครูประจำชั้นเสนอชื่อให้ได้รับทุนการศึกษา ประเภทเด็กยากจนได้สำเร็จ
แม่ของเบิ้มมีอาชีพรับจ้างเข็นผักในตลาดสด ในตอนเช้าและตอนเย็นพอว่างจากงาน เบิ้มจะขี่รถซาเล้งตระเวน เก็บขวดเปล่าและซื้อกระดาษที่เหลือใช้ และของเก่าต่างๆ ไปส่งให้เถ้าแก่
ที่ตึกแถวหลังเทศบาลเป็นประจำ ส่วนพ่อของเบิ้ม ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง เพราะเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เบิ้มจะเห็นพ่อนั่งคอตก กลิ่นเหล้าเคล้ากลิ่นกายของพ่อติดจมูกเขามิเคยจาง ยามเมาเต็มที่พ่อก็จะเพ้อรำพันร้องไห้ต่อสภาพชีวิตของตนเองอย่างคนขาดสติสัมปชัญญะ“ เบิ้ม เก็บขยะ..” เป็นสมญานามที่เพื่อนๆ ในห้องใช้เรียกแกมล้อเลียนแทน เบิ้ม ผ่านภพ ก็เป็นเพราะสภาพชีวิตที่ยากจนของเขา การเรียนของเบิ้มอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ทั้งๆ ที่ตั้งใจเรียนเต็มที่แล้ว คำสอนของครู และคำสอนของแม่ เขาปฏิบัติตามอยู่เสมอ “........ตั้งใจเรียนนะลูก แม่ยังมีแรงส่งแกเรียนก็ตั้งใจเรียน ให้ดีๆ อีกหน่อยแกจะไม่ได้ลำบากเหมือนแม่ แก่เฒ่าแม่จะได้มีที่พึ่งฝาผีฝากไข้ ..........”เบิ้มเคยอ่านหนังสือพิมพ์และได้รับฟังตัวอย่างเด็กดีที่ครูนำมายกย่องเด็กยากจนที่เรียนเก่งจนได้รับรางวัลเรียนดีมีชื่อเสียงหลายคน ในความฝันของเขาอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง แต่ในความเป็นจริงเขารู้ดีว่าตนเองนั้นอยู่นอกประเด็นนี้ เพราะทั้งยากจนและเรียนไม่เก่งอีกด้วย เบิ้มมักจะถามตนเองบ่อยๆ ว่าทำไมถึงได้เกิดมาจนและลำบากเช่นนี้กิจวัตรประจำวันที่เบิ้มต้องเร่งรีบและทำแข่งกับเวลา ทั้งการเรียนและการงาน เขาต้องตื่นตีสี่ ไปช่วยแม่รับจ้างเข็นผักที่ตลาด และต้องรีบกลับบ้าน รีบอาบน้ำแต่งตัว นำอาหารถุงที่ได้มาจากตลาดเทใส่จาน เตรียมไว้ให้พ่อ และต้องรีบมาให้ทันโรงเรียนเข้าทั้งๆที่รีบเช่นนี้ บางวันก็มาทันเข้าแถวเคารพธงชาติ สิ่งที่ทำให้เขาคิดตำหนิตัวเองและมีความเสียใจที่ทำให้คุณครูชัยยศครูประจำชั้น ไม่พอใจที่มาโรงเรียนสาย แต่เบิ้มก็มิอาจจะสรรหาคำใดมาบอกครูได้ว่าเขาเองก็เสียใจเช่นกัน ในความผิดที่เขาไม่ตั้งใจและไม่ปรารถนาจะทำ บ่อยครั้งที่เบิ้มเคยสัญญาที่จะปรับปรุงตัวเองแต่บางครั้งก็พลาดจนได้ สิ่งที่ทำให้เขาละอายใจยิ่งนัก แต่เบิ้มก็มั่นใจว่าเขาจะต้องสู้และเอาชนะในเรื่องการมาโรงเรียนสายได้สำเร็จ
หลังจากโรงเรียนเลิก เบิ้มต้องรีบไปตลาดเพื่อช่วยแม่เก็บขยะ ขวดเปล่า กระดาษที่พอจะนำไปขายได้ อีกตามเคย กว่าจะกลับบ้านได้ก็เกือบสองทุ่มทุกวัน อาหารการกินเขากับแม่ก็อาศัยร้านอาหารในตลาดแต่ก็ไม่เคยลืมที่จะห่วงใยซื้อหามาให้พ่อวันใดมีการบ้านเบิ้มจะต้องรีบทำให้เสร็จ ถูกบ้างผิดบ้างตามสติปัญญาเพื่อไม่ให้บกพร่องต่อหน้าที่ หลังจากทำการบ้านเสร็จเขาจะต้องช่วยแม่คัดแยกกระดาษ ขวด เครื่องโลหะเก่าๆ บรรจุใส่กระสอบใบใหญ่มัดปากให้แน่นเพื่อสะดวกในการส่งเถ้าแก่
คืนวันหนึ่งแม่สั่งกำชับว่า “…รีบไปนอนได้แล้วลูกเพราะพรุ่งนี้เช้าแกต้องตื่นมาช่วยแม่ไปขนของที่บ้านคุณลุงหมอ ท่านสั่งให้แม่ไปตอนเช้า เพราะต้องการทำความสะอาดบ้าน เพื่อทำบุญ...”
คุณลุงหมอ เป็นเจ้าเจ้าของที่ดินและห้องแถวที่เบิ้มอาศัยอยู่ ท่านเป็นคนใจดีและมีความเมตตาสมกับอาชีพของท่านโดยเฉพาะกับครอบครัวของเบิ้ม บางครั้งเบิ้มจะได้รับขนมอร่อยๆและเสื้อผ้าที่เหลือใช้จากลูกชายของท่าน ทุกครั้งที่ได้รับ เบิ้มจะทะนุถนอมและบรรจงพับเก็บไว้อย่างดี เพื่อเก็บไว้ใส่เมื่อมีโอกาสไปธุระกับแม่ มันช่วยให้เบิ้มดูดีและหล่อขึ้นในสายตาของแม่ คืนนั้นเบิ้มนอนคิดถึงบ้านคุณลุงหมอผู้ใจดี และนำมาเปรียบเทียบกับห้องเช่าของแม่แค่รัวกั้นไว้ มันแตกต่างกันราวกับฟ้าและดิน คฤหาสน์หลังงามและสระว่ายน้ำอันกว้างใหญ่ ดอกไม้งามสะพรั่งล้อมรอบบ้านคุณลุงหมอ มันคือจินตนาการของเบิ้มที่ใฝ่ฝันอยากจะมีไว้ครอบครอง เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาอยากแต่งตัวสวยงามเหมือนกับคุณลุงหมอ ขับรถคันใหญ่วาบวับไม่ต้องมาเข็นรถผักให้มือกร้าน ตีนแตก ส่วนพ่อ............... ความฝันที่เบิ้มบรรจงวาดต้องหยุดชะงักลง เมื่อหวนคิดถึงพ่อ ความเป็นจริงบนวิถีชีวิตที่เขาเผชิญขึ้นมาบดบังความฝันเสียสนิท เขามิอาจทำให้พ่อองอาจสง่างามและเข้มแข็งเหมือนกับคุณลุงหมอ แม้แต่ในโลกของความฝัน เพราะยามนี้พ่อกินเหล้าเพื่อรอความตาย ร่างกายของพ่อทรุดโทรมสั่นสะท้าน มือ เท้าขาดเรี่ยวแรงเมื่อยามขาดเหล้า เพราะพ่อเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังทำให้พ่อต้องพ่ายแพ้เกมชีวิตอย่างกับคนล้มละลาย หยาดน้ำตาของเบิ้มไหลเปื้อนหมอนเมื่อหวนคิดถึงพ่อ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจในส่วนลึกของพ่อแล้วยังรู้จักความผิดชอบชั่วดี ซึ่งเบิ้มรู้ได้จาดคำพูดของพ่อที่พร่ำพรรณนาซ้ำ ๆ ซาก ๆ เมื่อเห็นเขากับแม่นั่งทำงานตอนดึก “........กูนี่เกิดมาเสียชาติเกิดจริงๆ ต้องมานั่งให้ลูกกับเมียหาเลี้ยง.....อ้ายเบิ้มเอ้ย มึงยกโทษให้พ่อเถิดวะ..! ที่พ่อไม่สามารถให้สิ่งที่ดีให้กับเอ็งมากไปกว่านี้..... !”
น้ำเสียงของพ่ออ้อแอ้ชวนให้สมเพชยิ่งนัก เบิ้มไม่เคยโกรธพ่อเลยเพราะเขาเคยได้รับคำสอนจากพระอาจารย์ที่สอน วิชาพระพุทธศาสนา ที่คุณครูได้นิมนต์มาสอนที่โรงเรียนร่วมกันว่า
“ ..การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นโชควาสนาที่ดีและประเสริฐสุดแล้ว บุคคลที่ให้ชีวิตและร่างกายกับเราคือพระอรหันต์ที่ลูกทุกคนควรกราบไหว้บูชา....”
เบิ้มคิดถึงกิริยาท่าทางของพ่อ พระอรหันต์ของเบิ้มถึงแม้จะขี้เมาแต่ก็มีน้ำใจรักลูกและห่วงใยเพียงแค่นี้เบิ้มก็พอใจแล้ว เขาไม่อยากต่อว่าหรือพูดอะไรที่ทำให้พ่อช้ำใจไปกว่านี้ได้ ยามนี้เบิ้มพอใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อขี้เมา คำสารภาพที่พ่อพูดจากจิตใจใต้สำนึกคือสิ่งที่ทำให้เบิ้มรักและสงสารพ่อมากขึ้นพ่อทำได้แค่นี้เบิ้มก็พอใจและเห็นคุณค่าของพ่ออย่างภาคภูมิใจ มโนสำนึกบอกกับเขาว่า.... สิ่งที่ดีมีคุณค่าที่เบิ้มได้รับแล้วนั่นคือ....สายเลือดของพ่อแม่ที่รวมกันเป็นชีวิตของ เบิ้ม ผ่านภพ คนนี้
ก่อนเคลิ้มหลับคืนนั้น ..เบิ้มได้ยินเหมือนเสียงพระอาจารย์ที่เขาเคารพและศรัทรามากระซิบข้างหูว่า..... “..เบิ้ม...! นับแต่นี้ต่อไปชีวิตของเจ้าจะประสบแต่ความสุขเสมอเพราะเจ้าเป็นเด็กดีมีความกตัญญูสำนึกถึงพระคุณของพ่อแม่เหนือสิ่งลวงตาทั้งปวง วิถีชีวิตของเจ้าจะไม่มีตกอับ เพราะเจ้าได้รับชัยชนะที่ทุกคนมักพ่ายแพ้ ความดีของเจ้าจะกลายเป็นบุญกุศลและเป็นเกราะป้องกัน ให้เจ้าปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งปวง...... ” เบิ้มมีความรู้สึกว่าเสียงของพระอาจารย์เลือนหายไปพร้อมกับการหลับสนิทที่แสนอบอุ่นพร้อมพ่อแม่ในคืนนั้น......
( มาลา : เรียบเรียง)
ไม่มีความเห็น