การเรียนรู้แบบBBL


BBL

ศูนย์เด็กปฐมวัยต้นแบบเครือข่าย โรงเรียนหนองแสงราษฎร์พัฒนา อำเภอสามชัย  จังหวัดกาฬสินธุ์

การเรียนรู้แบบ Brain-Based  Learning (BBL)

 

                เป็นการนำความรู้   ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองไปใช้เป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้  เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์แต่ละช่วงวัย

                สมองมนุษย์เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องใช้ในการเรียนรู้  ประกอบด้วยเซลล์จำนวนมหาศาล   เซลล์สมองจะถูกสร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ 3-6 เดือนแรก   จนถึง 1 เดือนก่อนคลอด   ช่วงนี้สมองบางส่วนที่ไม่จำเป็นจะถูกทำลายไปซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า  “พรุนนิ่ง

(Pruniny)” และจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเด็กเล็กและช่วงวัยรุ่น    ทั้งนี้หลักการพัฒนาเซลล์สมองขึ้นอยู่กับ  2 ส่วน คือ

1.  ธรรมชาติที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ   ได้แก่  พันธุกรรม

2.  สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น  อาหาร  อารมณ์  การฝึกฝนใช้สมอง

จากการศึกษา   นักวิจัยพบว่า  สมองมนุษย์นั้นยิ่งใช้มากก็ยิ่งแข็งแรง   และหากส่วนไหน

ไม่ถูกใช้ก็จะตายไป   โดยเชื่อว่าพื้นฐานมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพความเฉลียวฉลาด   ที่สำคัญมี  8 อย่าง  สำหรับการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งจะแตกต่างกันไปตามสภาพการพัฒนาตั้งแต่เด็กเล็กจนเป็นผู้ใหญ่   ได้แก่

1.  การเคลื่อนไหวและทำหน้าที่ของร่างกาย

2.  ภาษาและการสื่อสาร

3.  การคำนวณและตรรกะ

4.  มิติสัมพันธ์และจินตนาการจากสิ่งที่มองเห็น

5.  ดนตรีและจังหวะ

6.  การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม

7.  การรู้จักตนเอง

8.  ปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ดังนั้นการเลี้ยงดูอบรมเด็กอย่างมีทิศทาง  จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ  ซึ่งต้องมีการฝึกฝนที่พอเหมาะตามศักยภาพและระบบการทำงานของสมอง  นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงระยะที่สมองพัฒนาเต็มที่  จะช่วยให้โอกาสทองของการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยที่เปิดรับการเรียนรู้อย่างสูงสุด  และสิ่งที่สำคัญยิ่ง

ต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ BBL  คือ การเข้าใจถึงความแตกต่างของสมองแต่ละคนที่มีลักษณะเฉพาะตัว

สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้  ไม่มีมนุษย์คนใดที่มีสมองปกติจะไม่สามารถเรียนรู้ได้   หรือเรียกง่าย ๆ ว่า  โง่มาแต่กำเนิด  เพียงแต่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้จะดีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและการจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่รอบตัว  และช่วงที่สำคัญที่สุดของพัฒนาการพื้นฐานทางสมองมนุษย์  คือ ช่วงปฐมวัยจนถึงก่อนวัยรุ่นช่วงต้น อายุระหว่าง 0-10 ปี

นักการศึกษาพบว่าสมองมนุษย์สามารถทำงานพร้อมกัน  8 ระบบในลักษณะกระจายตัวเชื่อม   ดังนั้น  สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้ภาษา  สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณและตรรกะ  สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง  ระยะและมิติ  รวมถึงสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและจังหวะ  สามารถทำงานและพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน  ซึ่งจะลบล้างความเชื่อเดิมที่ว่าสมองของมนุษย์ทำงานแบบแยกส่วน

ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานสมองตามแนวใหม่นี้ คือกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาการเรียนรู้ที่ได้รับการยกระดับและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก  เช่นเดียวกันประเทศไทยโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญ   จึงได้มอบภาระหน้าที่หลักให้กับสถาบันวิทยาการการเรียนรู้(สวร.)เป็นองค์การมหาชน    สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี  เพื่อการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทาง   BRAIN-BASE   LEARNING   โดยการศึกษาศักยภาพของสมองของเด็กแต่ละวัย   และนำผลการศึกษาที่ได้มาประมวลเป็นองค์ความรู้ที่จะขยายขอบข่ายการทำงานแบบบูรณาการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

แนวทางการจัดกระบวนการและสื่อการเรียนรู้แบบ BRAIN-BASE LEARNING

สำหรับโรงเรียน

1.จัดสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นความสนใจ  กระตุ้นการเรียนรู้  เช่น อุปกรณ์ที่มีสี รูปทรง สถาปัตยกรรม สิ่งที่ผู้เรียนออกแบบกันเอง(ไม่ใช่ครูออกแบบให้) เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกมีส่วนร่วมและมีความเป็นเจ้าของ

2.สถานที่สำหรับการเรียนรู้เป็นกลุ่มร่วมกัน  เช่นที่ว่าง ๆ สำหรับกลุ่มเล็ก  ซุ้มไม้ 

โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้  ปรับที่ว่างเป็นห้องนั่งเล่นที่กระตุ้นการมีปฏิสัมพันธ์  จัดสถานที่ที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เป็นกลุ่ม

3.จัดให้มีการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน  มีการเคลื่อนไหวกระตุ้นสมองส่วนควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อกับสมองส่วนหน้า  ให้สมองได้รับอากาศบริสุทธิ์

4.ทุกส่วนของโรงเรียนจัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรียนที่ไหนก็ได้  เช่น บริเวณเฉลียง  ทางเชื่อมระหว่างตึก  สถานที่สาธารณะ

5.เฝ้าระวังเรื่องความปลอดภัย  ลดความเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะชุมชนเมือง

6.จัดสถานที่หลากหลายที่มีรูปทรง  สี  แสง ช่อง  รู

7.เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เพื่อให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างหลากหลายจะกระตุ้นการทำงานของสมอง  เช่น  เวทีจัดนิทรรศการซึ่งควรเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ

8.จัดให้มีวัสดุต่าง ๆ ที่กระตุ้นการเรียนรู้  พัฒนาการต่าง ๆของร่างกาย  มากมายหลากหลายและสามารถนำมาจัดทำสื่อประกอบการเรียนรู้ที่มีความคิดใหม่ ๆ โดยมีลักษณะบูรณาการไม่แยกส่วนจุดมุ่งหมายหลักคือ  เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่หลากหลาย

 

9.กระบวนการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น  เหมาะสมกับสมองของแต่ละคนและสภาวะที่

เปลี่ยนแปลงไป

10.จัดให้มีสถานที่สงบและสถานที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น

11.จัดให้มีที่ส่วนตัว  เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของตน  จัดสถานที่

ส่วนตัวของตนและสามารถแสดงความคิด  สร้างสรรค์ของตนได้อย่างอิสระ

12.ต้องหาวิธีที่จะให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้มากที่สุด สนามเด็กเล่นในชุมชน แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต  นำเทคโนโลยี 

การเรียนทางไกล   ชุมชน  ภาคธุรกิจ  บ้าน  ต้องนำเข้ามามีส่วนและเป็นทางเลือกในการเรียนรู้

                สำหรับการจัดการศึกษาปฐมวัย   ซึ่งถือว่าเป็นช่วงแรกของการเรียนรู้ทุกโรงเรียนสามารถทำแนวทางการจัดกระบวนการและสื่อการเรียนรู้แบบ BRAIN-BASE LEARNING

ไปปรับใช้เตรียมการได้  จะเห็นว่าแนวทางหลายอย่างปฐมวัยจัดอยู่แล้ว  คือ 6 กิจกรรมหลักในกิจกรรมประจำวัน  ส่วนใหญ่สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าว  ซึ่งผู้บริหาร  ครู  ผู้สอนควรส่งเสริมและเน้นให้จริงจัง  เพราะเป็นนโยบายระดับชาติ

               

การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบ BBL

1.  จัดตกแต่งห้องเรียนให้มีสีเขียว  เหลือง  เป็นส่วนใหญ่

2.  ห้องเรียนและบริเวณรอบๆ ห้องเรียนมีต้นไม้ร่มรื่น

3.  จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมกัน  กระตุ้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

4.  จัดให้มีสถานที่  อุปกรณ์ต่าง ๆ  อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย

5.  จัดให้มีการเรียนรู้จากของจริง  ประสบการณ์ตรงโดยผ่านประสาททั้ง 5

(การมองเห็น  การได้ยิน  การได้กลิ่น  การได้ชิม  การสัมผัส)

6. จัดให้เด็กได้ฟังเพลงกล่อมเด็ก  เพลงคลาสสิค  ฟังนิทาน  อ่านหนังสือให้เด็กฟัง

7.  จัดให้เด็กได้เล่น  ฝึกกับเครื่องเล่นที่มีเสียงดนตรี  อย่างสม่ำเสมอ

8.  จัดให้เด็กได้สัมผัสกับศิลปะเรียนรู้ศิลปะ อย่างสม่ำเสมอ

9.  จัดให้มีของเล่นที่มีรูปทรง  สี  อย่างหลากหลาย

10. จัดให้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายทุกวัน

11. เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เช่น  การจัดห้องเรียน  จัดนิทรรศการ ฯลฯ

12.  การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมบ่อยๆจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมอง

13. จัดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย  ยืดหยุ่นตามความแตกต่างของผู้เรียน  ยาก  ง่าย ตามสภาพ

ของผู้เรียน

14. จัดให้มีที่เก็บอุปกรณ์และผลงานเป็นส่วนตัวของเด็กแต่ละคน

15.  จัดให้มีกิจกรรมร่วมกับชุมชน  เช่น เชิญเป็นวิทยากร  ร่วมกิจกรรมวันสำคัญของชุมชน ฯลฯ

 16. วางแผนใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนให้หลากหลาย

 

                พึงระลึกไว้เสมอว่า  การเข้าใจเรื่องสมอง  การพัฒนาสมองถูกจังหวะวิธี  ครู ผู้ปกครอง

ที่เข้าใจเด็กมีส่วนช่วยเด็กให้มีศักยภาพ  มีความสามารถอย่างที่ควรจะเป็น

 

ปัจจัยที่ช่วยพัฒนาสมอง คือ 

1.  ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด  อบอุ่นกับผู้เลี้ยงดู

2.  สิ่งแวดล้อมที่มีคนพูดคุยด้วย

3.  มีโอกาสได้เล่น

4.  มีการกระตุ้นการเรียนรู้ที่เหมาะสม

               

สำหรับการจัดการศึกษาของประเทศไทย  เป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ  ต้องให้ความตระหนักและสนใจในเรื่องการทำงานของสมองให้มากยิ่งขึ้น  เพราะที่ผ่านมาการจัดการศึกษาหรือ

การจัดกระบวนการเรียนรู้ไม่สอดคล้อง  และที่สำคัญยังตรงกันข้าม เป็นปฏิปักษ์ต่อกลไกการทำงานของสมอง  ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างและทำงานของสมองและการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนที่จัดทำอยู่ในปัจจุบันที่ยังพบอยู่

 

   

 

 

โครงสร้างการทำงานของสมอง

1.วัยเด็กเล็กเป็นวัยที่สมองพัฒนาและเรียนรู้ได้มากที่สุด  ทั้งยังสำคัญในแง่การสะสมข้อมูลที่จะช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงกับข้อมูลประสบการณ์เก่าได้ดีขึ้น  ในระดับที่สูงขึ้น

2.การที่เซลล์ใยประสาทของสมองของคนจะเชื่อมโยงได้ดี (ความพร้อมในการเรียนรู้) จะต้องมีสภาพแวดล้อมแบบปฏิกิริยาโต้ตอบ  เช่น เด็กเล็กได้รับการอุ้มกอด  ฟังเพลง  ฟังภาษาพูดคุย  ได้เห็นภาพที่หลากหลายได้สัมผัส ได้ชิม  ได้เคลื่อนไหว ได้สำรวจ ทดลองฯลฯ เด็กที่ได้รับแรงกระตุ้นภายนอกที่เหมาะสมอย่างหลากหลาย  สมองจะยิ่งพัฒนามากขึ้น  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าหากไม่มีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในทางใด  การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทส่วนนั้น  จะเหี่ยวแห้งตายไป (Use It Or Lose It)

3.ความฉลาดของมนุษย์เรามีหลายด้าน เช่น Howard  Gardner เสนอว่ามีอย่างน้อย 8  ด้าน คือ 1.ภาษา 2.ตรรกคณิตศาสตร์      3.ความเข้าใจด้านสถานที่หรือระยะ/มิติของสิ่งต่างๆ 4.การเคลื่อนไหวทางร่างกาย     5.ดนตรี 6.ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 7.ความสามารถในการเข้าใจและพัฒนาตนเอง 8.การเข้าถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งความฉลาดทุกด้านมีความสัมพันธ์และช่วยส่งเสริมเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน

 4.(สมอง)นักเรียนแต่ละคนมีท่วงทำนอง(สไตล์)การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน มีความพร้อมในเรื่องการเรียนรู้ในแต่ละด้านในแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน  หากได้รับการสังเกตและส่งเสริมอย่างเหมาะสม  พวกเขาก็จะเรียนรู้ได้ดี

5.การเรียนรู้ของสมองเชื่อมโยงกับอารมณ์ สมองจะเรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมทางอารมณ์ที่อบอุ่นเป็นมิตร  ไม่รู้สึกว่าน่ากลัว   มีการท้าทายให้อยากรู้อยากเห็น  แต่ไม่ถึงกับเป็นความเครียด  การบรรยายหรือการสื่อสารที่มีลักษณะเชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึก  ทำให้ผู้เรียนจดจำและเรียนรู้ได้ดีกว่าการบรรยายที่ไร้ความรู้สึก

6.สมองจะเรียนรู้ได้ดีหากผู้เรียนคิดว่าสิ่งนั้นสำคัญสำหรับการอยู่รอดของเขา(ทั้งทางกายภาพ อารมณ์ สังคมและทางเศรษฐกิจ)และอยู่ที่การสะสมประสบการณ์ข้อมูลความรู้มาตามลำดับ  รวมทั้งการป้อนข้อมูล  ที่ช่วยให้สมองสามารถเชื่อมโยงความหมายของความรู้ใหม่  กับความรู้เก่าที่มีอยู่หรือจากประสบการณ์ได้

7.สมองคนเราเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมภายนอกตลอดเวลา  ทั้งจากครอบครัว  ญาติพี่น้อง  คนใกล้ชิด  ชุมชน  สื่อวิทยุโทรทัศน์ฯลฯทั้งสมองคนเรา  เรียนรู้ได้ตลอดชีวิตรวมทั้งผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"> </p>

8.การดูแลและพัฒนาสมองของคนทั้งประเทศโดยเฉพาะวัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  ถึงวัย11ขวบและการให้การศึกษาแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง  ผู้ใหญ่ทุกคนในสังคมให้ช่วยดูแลเด็กและเยาวชน  จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการมาตาม  แก้ปัญหาเด็กมีปัญหาในภายหลังมาก

 9.สมองของนักเรียนรุ่นปัจจุบันเป็นสมองที่แตกต่างไปจากสมองของคนรุ่นที่เป็นนักเรียนเมื่อ15-20 ปีที่แล้ว  ชีวิตของพวกเขาเคลื่อนไหวเร็ว  และอยู่ในวัฒนธรรมของสื่อ โทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต  ที่มีภาพและเสียงเข้ามาในสมองของเขาอย่างรวดเร็ว  และมากมายด้านอารมณ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว  ทำให้ พวกเขาพัฒนาการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาท ที่เข้ากับการรับรู้สื่อแบบมัลติมีเดีย ที่เร้าอารมณ์มากกว่าการบอกเล่า   อ่านและจินตนาการแบบเก่า 

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #bbl
หมายเลขบันทึก: 315067เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2009 14:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

มีประโยชน์กับครูปฐมวัยมากค่ะ

ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้ที่มีค่าเหมาะกับคุณครูทุกคนที่ทำงานกับเด็กๆ ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท