ความต่างของโอกาส
โอกาส เมื่อกล่าวถึงคำนี้ เราก็ต่างคิดว่ามันอาจหมายถึงสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา ส่วนโอกาสของชีวิต สำหรับพวกเราที่มีโอกาสมาก ก็จะมองมันในรูปแบบของอนาคตที่เราอาจเลือกได้ แต่สำหรับบางคน โอกาสของชีวิตอาจเป็นได้เพียงความหวัง ที่ไม่มีแม้แต่จะให้เลือก
ในห้วงชีวิตผมได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งได้มอบแง่คิดกับตัวผมโดยเฉพาะเรื่องโอกาสในชีวิต มันสะท้อนให้เป็นถึงความเป็นจริงในสังคม และเป็นที่แน่นอน เมื่อผมได้พบกับน้องเขาความรู้สึกเปรียบเทียบย่อมเกิดขึ้น เมื่อมองดูคนอื่นแล้วย้อนมามองดูตัวเอง ก็ทำให้เรารู้สึกว่า “ทำไมเราถึงโชคดีอย่างนี้นะ” แล้วเราจะทำอย่างไรกับโอกาสนี้ดี
วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่ง ในช่วงต้นฤดูฝนที่ผ่านมา เป็นวันที่จัดได้ว่าอากาศดี ท้องฟ้ามีเมฆมาก ทำให้แดดไม่จัด แต่ก็ไม่ได้หนาแน่นดำมืดจนทำให้รู้สึกอึดอัด ผมได้มีโอกาสติดตามพ่อกับแม่ออกไปทำบุญที่วัดในจังหวัดลำพูน ไม่ใช่วัดที่ใหญ่เท่าใดนัก และบรรยากาศในวัดก็เงียบสงบมาก ก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ใช่เรียนหรือมีธุระก็จะมีโอกาสน้อยมากที่ผมจะเหยียบย่างออกจากบ้าน มันน่าจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างล่ะน่า ในระหว่างที่ผม พ่อ และ แม่กำลังเดินดูบรรยากาศในวัด ก็มีเด็กผู้ชายคนวิ่งหนึ่งเข้ามา พร้อมกับถามว่า “พวงมาลัยมั้ยครับ” แน่นอนด้วยสายตาออดอ้อนตามแบบฉบับเด็กเดินเร่ขายของ ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะผมเดาไว้อยู่แล้วว่าพ่อผมจะต้องตอบ... “ไม่เอา ๆ” เป็นไปดังที่คาด เด็กคนนั้นเดินจากไป ผมก็ไม่ทันได้สังเกตว่า เด็กคนนั้นมีสีหน้าอย่างไร เมื่อได้ยินคำปฏิเสธ พวกเรา 3 คน เดินกันต่อไปอีกสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ เริ่มมืดลง ไม่นะ.... นาน ๆ จะได้ออกจากบ้างมาสักหน หวังว่าคงไม่.. และแล้ว ทันใดนั้นฝนเม็ดน้อย ๆ ก็เริ่มตกลงมา พร้อมกับเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่ของมัน นั่นไงคิดอะไรมักเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พวกเรารีบเดินไปยังศาลา ที่มีร้านแผงลอยตั้งอยู่หลายร้าน ฝนห่าใหญ่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และที่นั่น ผมก็ได้พบกับเด็กคนเดิมที่วิ่งเข้ามาขายพวงมาลัยเมื่อครู่นี้ ผมมองไปที่หน้าเด็กคนนั้น แล้วก็จำกัดความรู้สึกที่ปรากฏบนใบหน้าได้ว่า “เซ็ง” และ “เศร้า” ผมจึงเดินไปขอเงินจากพ่อมา 10 บาท แล้วนำไปซื้อพวงมาลัยจากเด็กคนนั้น เท่าที่สังเกตผมคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะอายุประมาณ 10 ต้น ๆ ผมตัดสินใจที่จะนั่งคุยกับเขา เริ่มต้นด้วยคำถามพื้น ๆ “อย่างวันนี้ขายดีมั้ย” “ปรกติขายที่ไหน” และแน่นอนชื่อของน้องเขา สรุปคือน้องเราชื่อน้องอาร์ม ขายประจำอยู่ที่วัดนี่ล่ะ แต่ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อย ๆโดยค่อย ๆ ถามลึกเข้าสู้ชีวิตน้องเขา ก็เลยได้รู้ว่าน้องเขาอยู่กับพ่อแม่ ที่บ้านฐานะค่อนข้างยากจน(ตามความรู้สึกของผม) จึงทำให้น้องเขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ ป.4 ในโลกที่ชีวิตแทบจะหมุนเวียนไปด้วยเงินแบบนี้ แค่เงินสำหรับค่าอาหารยังแทบจะหาไม่ได้แบบนี้ เรื่องเรียนก็คงไม่ต้องพูดถึงเลย แล้วเมื่อไม่ได้เรียนโอกาสที่จะหางานดี ๆในอนาคตก็แทบจะมองไม่เห็น จะขายพวงมาลัยตลอดไปก็คงไม่ไหว มันช่างต่างกันอะไรอย่างนี้หนา กับชีวิตอย่างเรา มีพ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดีไม่ได้มีอะไรขาด การเรียนก็ส่งเสริมกันเต็มที่ จนบางทีก็นึกว่า จะเอาอะไรนักหนาเหมือนกัน ผมจึงถามต่อไปว่าแล้วต่อไปน้องอยากทำอะไร หรือจะทำอะไร น้องเขาก็ตอบออกมาว่า “อยากเป็นช่างอะไรก็ได้” แล้วก็ตามด้วย “แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วผมจะทำอะไรได้ ตอนนี้ผมก็คิดแค่ว่าจะอยู่ยังไงไปวัน ๆ เหมือนมันไม่มีโอกาสน่ะพี่” ณ วินาทีนั้นผมรู้สึกได้ว่าเสียงของฝนมันดังขึ้น ราวกับพระพิรุณร้องได้ให้เด็กคนนี้ หรือไม่ก็ความรู้สึกของผมหยุดลงกับคำว่า “ไม่มีโอกาส” ผมแทบจะกลืนความคิดเมื่อครู่นี้ลงไปไม่ทัน เรานิ่งเงียบกันไปสักพักก็รู้สึกว่าฝนเริ่มซา และหยุดลง ราวกับเป็นสัญญาณถึงการปิดฉาก ผมจึงขอบคุณน้องเขาแล้วลุกออกมา
ผมได้คำตอบถึงคำถามที่พูดไปตอนต้น โอกาสไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ง่าย ๆ เมื่อเราได้รับมันมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไรนั้นหรือ จริง ๆ แล้วไม่ต้องคิดเลย ทำให้ดีที่สุด ใช้มันให้คุ่มค่าให้สมกับที่เราเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกให้ได้รับมัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็นึกถึงคนที่ไม่ได้รับโอกาสอย่างน้องคนนี้ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง เพราะโอกาสนั้นถ้าผ่านแล้ว มันจะผ่านเลย
จากนี้อนาคตของน้องเราจะเป็นเช่นไร จะได้รับโอกาสในชีวิตหรือไม่ ผมไม่อาจตอบได้ แล้วโลกของเราใบนี้มีความลำเอียงจริงหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เราต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป
นทพ. กิตติพงศ์ เลาสุวรรณ์ นักศึกษาชั้นปีที่3
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ไม่มีความเห็น