ต่อจากตอนที่
1 ก็จะกล่าวในประเด็นต่อมา
ซึ่งเป็นข้อเสนอทิศทางการปรับเปลี่ยนสภาพสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุข
ให้สอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐและการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2540 โดยที่การปรับเปลี่ยนฯ ควรคำนึงถึงหลักสำคัญ 9 ประการ
ดังนี้
1)
ประชาชนต้องได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่น้อยลง
2)
มีความสอด! คล้องกับการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
3)
รัฐต้องมีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาสถานบ
ริการสุขภาพที่ปรับเปลี่ยนสถานะในระยะยาว
4)
การปรับเปลี่ยนสถานะของสถานบริการสุขภาพต้องเป็นไปเพื่อการปฏิบัติภารกิจแห่งรัฐ
ไม่ใช่จัดภารกิจตามใจชอบของแต่ละสถานบริการฯ
5)
ต้องมีความยืดหยุ่นด้านงบประมาณให้เหมาะสมกับวิวัฒนาการ
ภูมิหลังและพื้นที่ต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกัน
6)
ต้องมีทางเลือกให้กับข้าราชการเดิมที่ยังประสงค์เป็นข้าราชการเช่นเดิม
หากไม่ประสงค์ปรับไปสู่สถานะใหม่
7)
ควรสร้างรูปแบบการบริหารแบบใหม่ที่เปิดให้มีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาสังคม
8)
ควรมีความหลากหลายของรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างโรงพยาบาลต่างระดับ
9)
ประสิทธิภาพ คุณภาพและความเป็นธรรมของระบบต้องดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอเพื่อให้การปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่และโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ ควรจัดตั้ง “สำนักบริหารการเปลี่ยนแปลง กระทรวงสาธารณสุข” ขึ้นเป็นองค์กรในกำกับกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาหรือระเบียบรองรับในรูปของกลไกถาวรที่ทำงานต่อเนื่อง 5-10 ปี มีคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบจากหลายฝ่าย ร่วมกันดูแลทิศทางการดำเนินงาน มีหน้าที่จัดทำข้อเสนอแผนและขั้นตอนการปรับเปลี่ยน สนับสนุนให้มีการทำงานทางวิชาการที่เพียงพอ สร้างความร่วมมือและเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้กำหนดนโยบายและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาล
ผมหยิบเรื่องนี้มา ลปรร.กัน ณ
เวทีแห่งนี้ดูครับ
หากสนใจรายงานวิจัยฉบับเต็มก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่เลยครับ (แต่ท่านต้องสมัครสมาชิกก่อนนะครับที่ web สวรส.) รายงานวิจัยชิ้นนี้ดำเนินการโดย
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ และคณะ (2549) ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนในการวิจัยจาก
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
ไม่มีความเห็น