สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นมาฝากครับ ไม่อ้อมค้อมนะครับ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง วันนั้นเป็นวิชาเรียนสัมมนาของระดับ ป.โท และก็มีนักศึกษานานาชาติมาร่วมเรียนด้วย ทำให้บรรยากาศห้องนั้นต้อง ฟุต ฟิต ฟอ ไฟ พอสมควรทางผมก็ไม่ค่อยจะกล้าพูดกับเขาด้วยซิ ก็เลยพูดไม่ได้กับเขาสักที ในวันนั้นทาง อาจารย์ก็มีงานมอบหมายให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันอ่านเอกสาร ที่เป็นภาษาต่างประเทศอันผมก็งูๆปลาๆเท่านั้นแหละครับ แล้วก็มาร่วมแสดงความคิดเห็นภายในกลุ่มด้วยกันเอง
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับมีคนตาบอดอยู่ 5 คน ต่างคนก็ต่างพากันคลำช้างโดยทุกคนต่างก็พากันสรุปทันทีที่ตัวเองคลำเจอ คนแรกคลำเจอสีข้างช้างก็สรุปเลยว่าอันนี้เป็นกำแพง คนที่สองคลำเจอหางก็บอกว่าเป็นเชือก คนที่สามคลำเจอหูก็บอกว่าเป็นพัดขนาดใหญ่ คนที่สี่คลำเจออะไรไม่รู้ ส่วนคนที่ ห้าคลำเจองวงช้างก็บอกว่าเป็นงูซะงั้น แล้วทั้งห้าคนก็เถียงกันอย่างหนัก เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีใครยอมใครเลย
ซึ่งสิ่งที่ได้เล่ามานี้ก็แสดงให้เห็นถึงเราไม่ควรด่วนสรุปอะไรง่ายๆจนกว่าจะได้ตรวจสอบดูให้รอบคอบเสียก่อนด้วยตัวเองหรือให้ผู้อื่นช่วยด้วยอีกแรงก็จะทำให้ข้อมูลที่เราได้รับมานั้นมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น และเราต้องรับฟังเหตุผลของผู้อื่นด้วยว่าทำไมเขาถึงบอกว่าอย่างนี้ บางทีสิ่งที่เรารู้หรือได้รับมาอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้หรือเมื่อเรารับฟังแล้วอาจจะช่วยเสริมในสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาอยู่ที่การหาหัวข้อสัมมนานั้นเอง ตอนนี้ยังไม่ได้เลยครับ ก็กำลังหาเรื่องที่สนใจ และก็ลองหาเอกสารประกอบดูว่ามีมากน้อยขนาดไหน คาดว่าน่าจะได้ในไม่ช้านี้แหละครับ
สุดท้ายในวันนั้นมีการแนะนำตัวเองด้วยครับ อย่างที่บอกไปแล้วในห้องมีนักศึกษาต่างชาติมาร่วมเรียนอยู่ด้วย เพื่อการสื่อสานที่มีประสิทธิภาพก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสิครับ อิอิ... เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก ขนาดไปยืนอยู่หน้าชั้นเรียนเฉยๆยังรู้สึกเขินเลย แต่อันนี้ต้องไปพูดเป็นภาษาอังกฤษอีก อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยขนาดแนะนำตัวเป็นไทยยังสั่นๆอยู่เลย พอคนแรกผ่านไป ก็ไม่มีอะไรเพราะอีกนานกว่าจะถึงเราอิอิ...สบายใจ
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องได้พูดอยู่แล้ว ต้องทำใจให้ดีๆเถอะ พอผ่านไปหลายคนก็ฟังคนอื่นรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนมากจะเป็นอันหลังเสียมากกว่าอิอิ... เพราะบางคนก็มาจากพม่าบ้าง เวียดนามบ้าง ลาวบ้าง สำเนียงก็ค่อนข้างฟังยากแต่ก็พยายามฟังอยู่ครับว่าเขาพูดว่าอะไร
พอมาถึงตาตัวเองขึ้น แรกก็รู้สึกเขินๆบ้าง บ้างคำไม่แน่ใจก็หันไปหาอาจารย์ แต่รู้สึกว่าพูดได้ดีขึ้น อิอิ... ชมตัวเองไว้ก่อน รู้สึกอยากพูดภาษาอังกฤษขึ้นมา ตอนนี้กำลังเฟ้นความกล้าที่จะพูดกลับชาวต่างชาติออกมาให้ได้ครับ
ขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านมาจนจบ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ หน้าหนาวแล้ว อย่าลืมห่มผ้าหนาๆด้วยนะครับ อิอิ...
สวัสดีค่ะ
อ่านแล้วยิ้ม ๆ เป็นธรรมดาค่ะ
หากได้พูด ได้ใช้ ได้สื่อสารบ่อย ๆ ก็จะดีขึ้นเองค่ะ
สู้ ๆ นะคะ
รักษาสุขภาพเช่นกันค่ะ
(^___^)
ขอบคุณครับ คนไม่มีราก
ที่แวะมาให้กำลังใจ หากได้ฝึกพูดบ่อยๆ
ก็น่าจะดีขึ้น ก็หวังว่าอย่างนั้นครับ อิอิ...
ลองนึกซิครับว่าเราพูดภาษาเราได้อย่างไร?...ลองเรียนรู้แบบที่เราเริ่มเรียนพูดภาษาไทยนั้นแหละครับ...ต้องหาชั่วโมงบินหม้ตัวเองมากๆ...
สู้ๆ น๊ะ
สวัสดีครับ..เราชาวนา..นับวันลูกหลานชาวนาที่ไปเรียนที่เมืองใหญ่กัน...แทบจะไม่รู้จักการทำนาแล้วละครับ..อีก 10 ปีใครจะทำนาละครับ...
...การขยายโอกาศทางการศึกษามันดีตรงนี้เองหรือ....มันใช่แล้วหรือ...
ขอบคุณมากครับ คุณหมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
ที่มาให้กำลังใจ แถมข้อคิดดีๆ
ต้องกล้าคิดนอกกรอบ ความกล้าเท่านั้น
ขอบคุณอีกครั้งครับ
สวัสดีครับ คุณครูติดดิน
ที่แวะมาเยี่ยมและ บอกเทคนิคดี
อย่างนี้ต้องฝึกพูดเยอะ เห็นใครที่เป็นชาวต่างชาติก็ต้องกล้าที่จะพูดกับเขา
ขอบคุณมากครับ
อ่านด้วยความเข้าใจและเห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อคิดดีๆค่ะ...