ความยาวนานของเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในฐานะ “เหยื่อ” ที่สูญเสียคนในครอบครัวจากความรุนแรง และส่วนหนึ่งกลายเป็น “เหยื่อ” ที่ถูกสังคมตีตราว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งนำไปสู่การควบคุมตัวและดำเนินคดีในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบ กลายเป็นช่องว่างระหว่างเยาวชนกับรัฐเพราะความไม่เข้าใจ ทว่า ความซับซ้อนของสถานการณ์ดังกล่าวถูกสื่อกระแสหลักนำเสนอเพียงแง่มุมของความรุนแรงเป็นหลัก
“ยิ่งยุคโลกาภิวัตน์ทำให้ความเป็นตัวตนของเยาวชนในพื้นที่ลดลง จนขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งการขาดโอกาสในการสื่อสาร บวกความไม่เข้าใจของสังคมที่มีต่อเยาวชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจเป็นช่องโหว่ทำให้เยาวชนถูกผลักไปอยู่อีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ”
มณฑิรา มลิวรรณ์ – ‘อ้อม’ นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกชีววิทยา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หนึ่งใน ‘กลุ่มบุหรงซีงอ’ เล่าถึงความคิดที่ทำให้สนใจเรื่องการสื่อสารเป็นพิเศษ
“ วันหนึ่ง ‘มะเขือ - จงรักษ์ ศรีจันทร์งาม’ (นักศึกษาแผนกวิชาพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์ฯ ม.อ.ปัตตานี) เพื่อนในกลุ่ม กำลังทำวิจัยในวิชาเรียนของ ‘อ.อลิสา หาสะเมาะ’(อาจารย์แผนกวิชาพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์ฯ ม.อ.ปัตตานี) เกี่ยวกับประเด็นของนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไปรู้ว่า ‘ด้า - อารีด้า สาเมาะ’ (นักศึกษา วิชาเอกวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะศึกษาศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี) เพื่อนของเราคนหนึ่งเป็นลูกกำพร้าขาดเสาหลักของครอบครัว และยังต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวด้วย คือ ผลกระทบของปัญหาไม่ใช่เรื่องไกลตัวของพวกเราอีกต่อไป”
และจากการเรียนวิชาพัฒนาสังคม ทำให้มีโอกาสเข้าไปในชุมชนหลายครั้ง แต่ละครั้งก็พบเจอเรื่องราวมากมาย ทั้งผลกระทบที่เกิดแก่เยาวชนจำนวนมากในหลายมิติ ‘ฮัน- เจ๊ะมัยฮัน มาหิเละ’ (ศิษย์เก่าแผนกวิชาพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์ฯ ม.อ.ปัตตานี) อีกหนึ่งสาวของกลุ่ม ย้อนความเป็นมาซึ่งช่วยต่อภาพวิธีคิดของกลุ่มได้มากขึ้น “เราพบว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่สวยงาม เช่น มีหญิงมุสลิมร้อยและขายพวงมาลัยในตลาดพิธาน จ.ปัตตานี เพื่อเลี้ยงปากท้อง ครอบครัว และการศึกษาของลูกๆ แม้จะเป็นการซ้อนทับระหว่างวัฒนธรรมและศาสนาก็ตาม เพราะอิสลามเชื่อว่าการขายของที่ให้ผู้อื่นนำไปเพื่อการบูชาเป็นสิ่งที่ผิดหลักศาสนา เป็นต้น ตลอดจนความรู้สึกต่างๆ ที่ชาวบ้านสะท้อนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างต่างเหลือเกินจากสิ่งที่เราได้ยินได้เห็นผ่านสื่อ”
“เหล่านี้กลายเป็นโจทย์ให้คิดต่อว่า พวกเราจะทำอย่างไร ให้เสียงสะท้อนของชาวบ้าน ที่เกิดจากความอึดอัด คับข้องใจ ส่งต่อไปยังสังคมส่วนใหญ่ได้รับรู้ บนฐานของหลักคิดที่ว่า ‘ความจริงนั้นมีหลายชุด’ แต่ชุดความจริงของชาวบ้านทำไมกลับดังก้องอยู่เฉพาะในหมู่บ้านในระดับท้องถิ่นเท่านั้น”
จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้นักศึกษาและอาจารย์ทั้ง 5 คน รวมตัวกันเป็น “กลุ่มบุหรงซีงอ” (Burongsinga) หรือ “นกสิงห์” มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ มีหัวเป็นนก แต่ตัวเป็นราชสีห์ “เพราะต้องการรักษาและแสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นที่ไม่มีที่ไหนในโลก และยังเป็นความภาคภูมิใจที่จะแข่งขันกับกระแสวัฒนธรรมภายนอกได้อย่างไม่อายใคร เรายังให้ความหมายกำกับว่า ‘นก’ หมายถึง ความมีอิสระ และ ‘สิงห์’ หมายถึงความเป็นผู้นำ” อ้อม อมยิ้ม อธิบายที่มาและความหมายของชื่อกลุ่ม
อ่านต่อที่นี่..บุหรงซีงอ: เชื่อมเสียงเยาวชนและความจริงชุมชนชายแดนใต้ เรื่องราวกลุ่มนี้เข้มข้นจริงๆ
คนเล่าเรื่อง ฐิตินบ โกมลนิมิ (พี่แจง)
ไม่มีความเห็น