พญ.ธัญญพัทธ์ สุนทรานุรักษ์
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลพิจิตร
บ่ายวันหนึ่ง ออกไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วย Hepatocellular carcinoma
ผู้ป่วยรายนี้เราต้องระมัดระวังในการเยี่ยมบ้านเป็นพิเศษเนื่องจากมีสายตาของญาติผู้หวังดีกับผู้ป่วยคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลาว่าหมอจะพูดอะไรกับคนไข้ เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Hepatocellular carcinoma มาประมาณ 1 เดือน แต่รู้เพียงแต่ญาติเท่านั้น น้องสาวผู้ป่วยซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศบอกเราว่า ไม่ต้องการให้บอกผู้ป่วยว่าเป็นมะเร็งเพราะกลัวว่าผู้ป่วยจะใจเสียและทรุดหนักมากขึ้น ในขณะที่เราใช้หลัก spikes technique ในการแจ้งข่าวร้าย แต่ไม่สำเร็จเพราะญาติผู้ป่วยจะคอยพูดแทรกหรือตอบแทนผู้ป่วยเนื่องด้วยกลัวผู้ป่วยจะรู้ความจริง
จนวันหนึ่งนั่งตรวจผู้ป่วยที่ PCU ญาติของผู้ป่วยมาเล่าให้ฟังว่าผู้ป่วยร้องไห้ ไม่ยอมพูดกับใครในบ้าน เราก็เลยบอกให้พาผู้ป่วยมาตรวจที่ PCU (พอดีบ้านผู้ป่วยไม่ไกลจาก PCU มากนัก)
แพทย์: สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ
ผู้ป่วยนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็ตอบ
ผู้ป่วย: ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมหมอ
แพทย์: เหมือนๆ เดิมนี่หมายความว่าอย่างไรค่ะ สบายดีหรือเปล่า
ผู้ป่วย: มันอึดอัดหมอ
แพทย์: อึดอัดเรื่องอะไรค่ะ
ผู้ป่วย: มันไม่รู้ทำอย่างไร
แพทย์: ทำอย่างไรเรื่องอะไรค่ะ
ผู้ป่วย: ก็เรื่องโรคภัยของผมนี่แหละ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็เลยอึดอัด
แพทย์: หมอที่โรงพยาบาลบอกพี่ว่าเป็นอะไรนะค่ะ
ผู้ป่วย: หมอบอกว่าเป็นก้อนที่ตับ
แพทย์: แล้วพี่เคยได้ยินหรือเคยเห็นใครเป็นก้อนที่ตับมาบ้างหรือเปล่าค่ะ
ผู้ป่วย: ก็มีเพื่อนๆ เขาก็เป็นโรคตับ ตอนนี้ก็ตายไปแล้ว
แพทย์: แล้วพี่คิดว่าก้อนในตับของพี่เป็นอะไร
ผู้ป่วย: ก็สังเกตตัวเองเหมือนกัน ตั้งแต่ป่วยมาเหมือนเนื้อตัวมันผอมแห้งลงเรื่อยๆ
ไม่เห็นจะเหมือนอย่างที่น้องบอกว่าจะดีขึ้นเลย ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะ
เป็นเหมือนเพื่อน
แพทย์: เป็นอะไรค่ะ
ผู้ป่วย: เพื่อนเขาเป็นมะเร็ง อาการก็คล้ายๆ กับผมนะ ผมยังคิดอยู่ว่าผมเป็นมะเร็ง
หรือเปล่า
แพทย์: แล้วถ้าสิ่งที่พี่สงสัยมันเป็นจริงพี่จะเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ป่วย: ผมก็ใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนแล้ว ลองมาทุกอย่าง ถ้ามันจะเป็นอะไรผม
ก็รับได้นะ แต่ผมอึดอัด ไม่รู้จะทำอะไรในชีวิต วางแผนชีวิตไม่ถูก
แพทย์: วางแผนเรื่องอะไร
ผู้ป่วย: ก็ถ้าผมเป็นมะเร็งจริง ผมจะได้จัดการทำอะไรที่ผมยังไม่ได้ทำ
ผมจะได้ไม่ต้องห่วง
หลังจากประเมินแล้วว่าผู้รับได้
เราจึงบอกผู้ป่วยว่าเขาเป็นมะเร็งจริง แต่สิ่งที่ญาติกังวลไม่เป็นความจริงเลย ผู้ป่วยไม่ตกใจเลย และหลังจากวันนั้นผู้ป่วยก็ไม่ได้มีอาการแย่จากการทราบข่าวร้ายนั้น
ข่าวจะร้ายหรือไม่ร้ายขึ้นอยู่กับความคาดหวังจริงๆ จึงเป็นอุทาหรณ์ว่าใครกันแน่ที่กลัวความจริงญาติหรือผู้ป่วย?
ในบางครั้งญาติผู้ป่วยเป็นปัญหามากกว่าคนไข้เสียอีก กลัวว่าผู้ป่วยยอรับความจริงไม่ได้ บางที่ถ้าเราได้รับรู้ความจริงเสียแต่ต้นๆจะได้วางแผนอนาคตของเราได้ถูกว่าควรทำอย่างไรต่อไปหรืออะไรที่ยังไม่ได้ทำ ในเวลาที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าในชีวิตของผู้ป่วยถ้าเป็นดิฉันจะขอรับรู้ความจริงตั้งแต่ต้นเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ
เคยมีประสบการณ์ค่ะ ไม่ได้เป็นมะเร็งใกล้ตายหรอกค่ะ แต่ต้องผ่าตัดสมองด้วยภาวะเนื้องอกในสมองค่ะ พ่อแม่และญาติๆ พยายามจะไม่ให้รับรู้ค่ะ ว่าเป็นอะไรร้ายแรงแค่ไหน เวลาหมอจะคุยเรื่องโรคเรื่องการผ่าตัดก็จะพยายามกันตัวเราออกไปค่ะ แต่สี่ก็บอกทุกคนว่า คนที่ผ่า คนที่ต้องรักษาคือสี่ จะให้สี่ขึ้นเตียงผ่าตัดทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรได้ยังงัย ถ้าจะต้องตายก็ขอให้รู้แล้วกันว่าต้องตายเพราะโรคอะไรค่ะ
พอรู้ก็เตรียมใจพร้อม คิดว่าตายก็คงไม่เป็นไร แค่ได้รับความรักความห่วงใยที่มากพอ แค่นั้นก็พอแล้วละค่ะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกความคิดเห็น มีคนไข้หลายคนที่เสียชีวิตไปทั้งๆไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร ซ้ำร้ายญาติยังสั่งให้หมอกระหน่ำการรักษา ทั้งใส่ tube CPR ถ้าคนไข้รู้ตัวเองและรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยอะไรแถมทำให้เขาทรมานมากขึ้นเขาอาจจะไม่อยากได้ความหวังดีเหล่านี้ที่ญาติคิดว่าดีก็ได้นะค่ะ น่าสงสารจัง สงสัยเราคงต้องสั่งญาติไว้ตั้งแต่ต้นจะได้ไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้นะค่ะ
ผมว่าบางที่คนที่กลัวที่สุดอาจจะเป็นหมอเจ้าของไข้...กลัวผลของการบอกความจริงกับผู้ป่วย
เรื่องราวน่าสนใจครับ+dialoque หลายตอนขอยืมไปใช้นะครับ
ยินดีค่ะพี่โรจน์ พี่โรจน์อย่าลืมถ่ายทอดประสบการณ์การดูงาน hospice care จากอังกฤษให้ฟังบ้างนะค่ะ จิจะได้นำไปปรับใช้ที่พิจิตรบ้าง เผื่อจะใช้ได้
สวัสดีคะพี่จิ ขอแสดงความเห็นคะว่า การ break collusion อาจขึ้นกับระยะของโรคด้วย
ถ้าโรคดำเนินไปจนถึงขั้นผู้ป่วยมีอาการแล้วอย่างรายนี้ ตัวผู้ป่วยยุ่อมสงสัยว่าเกิดอะไรกันแน่ หรือบางทีเขาอาจสงสัยอยู่แล้วด้วยซ้ำ
เคยเจอ คนไข้มะเร็งเต้านม ที่ metas ไปปอดแล้วยังไม่มีอาการ ลูกมาฟังผลแล้วก็ปิด
เวลาคนไข้มารับยา hypertension ก็ยังมานั่งขนาบ เพื่อกันไม่ให้แพทย์บอก เราก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าคนไข้เสียอีก
ขอบคุณค่ะ สำหรับความคิดเห็น คนไข้รายนี้เขาก็สงสัยอยู่แล้วแหละค่ะว่าเขาจะเป็นมะเร็งเพราะเขาแย่ลงเรื่อยๆ แต่ญาติเขาไม่ต้องการให้คนไข้รู้แล้วก็พยายามจะปิดทุกอย่างที่คนไข้จะรู้ได้