การกำจัดเพลี้ยแป้งสีชมพูมันสำปะหลัง มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ประสพผลสำเร็จมากน้อยเพียงไร ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ถูกต้อง “บนพื้นฐานความเป็นจริง” วิธีการ “ลองผิดลองถูก” ยังไม่ควรนำมาใช้ในขณะนี้
วิธีที่ 1 โดยการใช้สารชีวภัณฑ์ (ชีวินทรีย์) ประเทศไทยมีนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถด้านวิชาสัตววิทยา หรือจุลชีววิทยาจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก อีกทั้งการผลิตสารชีวภัณฑ์นั้นเป็นการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สารชีวภัณฑ์ของไทยที่ขึ้นทะเบียนรับรองจากกรมวิชาการเกษตร ส่งออกไปสร้างชื่อเสียงโด่งดังทั้งในยุโรปและอเมริกา รวมไปถึงประเทศในแถบเอเชีย อย่างน่าภูมิใจ
การใช้สารชีวภัณฑ์ให้ผลระยะยาวกว่าการใช้สารเคมี เพราะเมื่อแมลงสัมผัสสารชีวภัณฑ์ จะ ติดเชื้อจนตายภายใน 4-14 วัน และมีสปอร์งอกออกมาจากตัวแมลงที่ถูกพิษและจะเกาะตายอยู่กับต้น เมื่อใดก็ตามถ้ามีแมลงอื่นมาสัมผัสก็จะติดเชื้อราและตายในลักษณะเดียวกัน เป็นการป้องกันหลังการฉีดพ่น ได้ ระยะหนึ่ง ซึ่งจะได้ผลดีมาก สำหรับผู้ที่เข้าใจวิธีการใช้ อย่างไรก็ตามยังเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเกษตรกร ที่ไม่ชอบรอ ส่วนใหญ่ชอบที่จะเห็นผลในทันทีทันใด สารชีวภัณฑ์จึงเป็นที่นิยมใช้ในวงแคบๆ กับเกษตรกร ที่มีความรู้มีการศึกษา อย่างเช่นในยุโรปหรืออเมริกา และญี่ปุ่น เท่านั้น แต่มีแนวโน้มจะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ขั้นตอนการใช้ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขของมัน เช่น ความชื้นขณะที่ใช้ต้องมีไม่น้อยกว่า 70% และอุณหภูมิต้องไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส พ่นช่วงบ่ายหรือเย็น (เกษตรกรคิดว่ายุ่งยาก) สารเสริมประสิทธิภาพ (สารจับใบ) ที่ใช้กับเชื้อราที่มีชีวิตควรพิจารณาใช้สารที่ไม่เป็นอันตรายกับ เชื้อราที่ใช้ด้วย
วิธีที่ 2 โดยสารกำจัด (เคมี) ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและราคาแพง (มาก) แต่การใช้ จะง่ายกว่าสามารถพ่นเมื่อใดก็ได้ (ถ้าขยัน) แมลงตายเร็วกว่า แต่การป้องกันระยะยาวได้น้อยกว่าสารชีวภัณฑ์ อย่างไรก็ตามการใช้ต้องอยู่บนเงื่อนไข เช่น ให้พ่นในอัตรา 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 80 ลิตรต่อไร่ แต่เกษตรกรใช้ 80 ลิตรพ่นในพื้นที่ 2 ไร่ ในอัตราเดียวกัน หรือ แนะนำให้ใช้ร่วมกับสารเสริมประสิทธิภาพ (สารจับใบ) ป้องกันการชะล้างจากน้ำค้างหรือน้ำฝน เกษตรกรกลับไปใช้กับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน (แล้วบอกว่าใช้ไม่ได้ผล)
วิธีที่ 3 ที่ประสพผลสำเร็จมาแล้ว หลังจากการใช้ 2 วิธีการแรกไม่ได้ผลเท่าที่ควร คือชีววิธี โดยการใช้ศัตรูธรรมชาติกำจัด แตนเบียน (ทราบว่ากรมวิชาการเกษตรนำเข้ามาแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 52 นี้) แต่ต้องรอการขยายพันธุ์ ซึ่งอีกนานแค่ไหน (แล้วแต่พระเจ้า) อย่างไรก็ตามขออย่างให้เหมือนการรอคำตอบเรื่องสายพันธุ์ก็แล้วกัน เพราะอีก 4-5 เดือน เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวผลผลิต (ที่รอดที่เหลืออยู่ในชีวิต ของเขา) แล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือการจัดการในการกำจัด นอกเหนือจากเงื่อนไขที่ต้องทำตามให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในแต่ละชนิดของสารนั้นๆ แล้ว การจัดการในการพ่นสารกำจัดก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้นเลย โดยเกษตรกรจะต้องระลึกเสมอว่าการใช้สารกำจัดในแต่ละชนิด ต้องพ่นให้สัมผัสตัวแมลงศัตรูพืช หรือต้องเน้นให้ถูกตัวแมลงมากที่สุด มีวิธีการแนะนำดังนี้
1. เด็ดยอดมันสำปะหลังที่มีกลุ่มเพลี้ยแป้งซ่อนตัวอยู่ออก ใส่ถุงพลาสติก มัดปาก เพื่อไม่ให้เพลี้ยไต่ออกมาอีก (เพลี้ยจะตายเพราะความร้อนในถุง) นำไปเผาให้แน่ใจ
2. พ่นสารตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด (ช่วงนี้ไม่ควรลองผิดลองถูกกับสารที่ยัง ไม่แน่ใจ)
3. หงายหัวพ่นให้สารถูกใต้ใบ (เพลี้ยแป้งวัยอ่อนที่มองแทบไม่เห็นจะอาศัยเกาะ ใต้ใบ)
4. พ่นครั้งที่สองเมื่อเห็นว่ายังไม่ตายหมด (สารกำจัดตัวได้แต่ไข่ไม่ฝ่อ 6-10 วันจะออกมาอีก) ระยะที่เหมาะสมในการพ่นยา ควรเป็นระยะที่เพลี้ยแป้งยังอยู่ในวัยอ่อน (1-2) ยังไม่มีแป้งปกคลุมป้องกันตัว
5. หมั่นตรวจแปลงปลูกเพื่อให้แน่ใจว่ายังมีเพลี้ยเหลืออยู่หรือไม่ และพ่นซ้ำถ้าจำเป็น
ขอกลับมาที่สารชีวภัณฑ์อีกครั้ง กรมส่งเสริมการเกษตร โดย ศูนย์บริหารศัตรูพืช (ศบพ.) ได้ผลิตเชื้อราบิวเวอเรีย (สด) แจกให้พี่น้องเกษตรกรไปใช้ปราบเพลี้ยแป้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เกษตรกรนำไปใช้ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง เพราะวิธีการใช้ของแต่ละบุคคลที่ต่างกันออกไป ใครใช้ตามเงื่อนไขก็บอกว่าได้ผล ใครใช้แบบ ใช้ไปงั้นๆ ก็บอกว่าไม่ได้เรื่อง ในส่วนตัวเห็นว่าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่กรมส่งเสริมการเกษตรสนับสนุนให้ทำเรื่องนี้ แต่จะให้ดีกว่านี้ต้องสนับสนุนงบประมาณให้ด้วย เพราะเมื่อใดมีความต้องการใช้จริงๆ ก็ไม่สามารถตอบสนองให้เกษตรกรได้ (งบหมด) และการสอนให้เกษตรกรไปผลิตใช้เองนั้น น่าจะมีการติดตามผลด้วย ส่วนใหญ่เกษตรกรเขี่ยเชื้อตามได้ถุนบ้านหรือใต้ต้นไม้ แล้วจะหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากเชื้อราชนิดอื่นได้อย่างไร และคุณภาพจะออกมาอย่างไร (มีทหารไว้ออกรบปราบศัตรูแต่ไม่รู้ว่าในค่ายของตัวเอง มีทหารจำนวนเท่าใด มีคุณภาพศักยภาพแค่ไหน แล้วใครจะกล้ารับประกันว่าออกรบแล้วจะชนะข้าศึก)
สารกำจัด (เคมี) และราคาที่เกษตรกรซื้อได้ที่ร้านเคมีเกษตร
ชื่อสาร ขนาด ราคา/ ลิตร/ กล่อง ราคา/ ก.ก./ ลิตร
ไทอะมีโทแซม 100 กรัม 530 5,300
ไทอะมีโทแซม 20 กรัม 150-230 7,500-11,500
ไดโนทีฟูแรน 100 กรัม 165-170 1,650-1,750
ไวท์ออยล์ 1 ลิตร 150-160 150-160
หมายเหตุ
เกษตรกรนิยมที่จะซื้อขนาด 20 กรัมมากกว่าเป็นกิโลกรัม เพราะดูเหมือนราคาถูก ใช้ง่าย (ซองละ 2 กรัม) แต่แท้ที่จริงกลับแพงมาก และราคาจะขึ้นลงอยู่กับจังหวัดที่มีการระบาด เช่นในภาคตะวันออก จันทบุรี ขนาด 20 กรัม ราคา 180 แต่ที่ระยองกลับมีราคากล่องละ 200-230 บาท ในขณะที่ทั่วไป (นอกพื้นที่ระบาด) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 150 บาท หรือ 7,500/ กก. แต่สารชีวภัณฑ์กลับมีราคาหลักร้อย (3-400 เศษ/ กก.) ฉะนั้นราคาที่จะนำมาคำนวณ ของนักคำนวณต้นทุนต่อไร่ จึงต้องเป็นราคาท้องตลาดมิใช่ราคาขายส่งที่เกษตรกรไม่มีโอกาสซื้อจากบริษัทผู้นำเข้าโดยตรงได้เลย ส่วนสารชีวภัณฑ์กำจัดแมลงควรเน้นคุณภาพและความเข้มข้นตามมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน
การเก็บเกี่ยว
ในกรณีที่แปลงของเกษตรกรมีการระบาดขณะเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันการระบาดในฤดูปลูกต่อไป เกษตรกรไม่ควรให้มีชิ้นส่วนของพืชที่มีกลุ่มเพลี้ยแป้งติดอยู่ในแปลงปลูก ไม่ควรไถกลบต้นหรือใบ เพราะจะทำให้เพลี้ยแป้งมีอาหารดำรงชีพอยู่ในดินได้นาน (รอการปลูกใหม่) เกษตรกรควรเก็บออกและเผาทำลาย (แม้จะเป็นภาระก็ต้องทำ) ควรตากดินอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อให้เพลี้ยแป้งที่ยังหลงเหลืออยู่ในดินตาย และแน่ใจว่าจะไม่กลับมาหาเกษตรกรอีกเมื่อมีการปลูกใหม่
ก่อนการปลูก
เตรียมดินและต้นพันธุ์สะอาดให้พร้อม หลังจากตัดท่อนพันธุ์ต้องเช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมี หรือชีวินทรีย์ตามอัตรา และเวลาที่กำหนด เพื่อกำจัดเพลี้ยที่ติดมากับท่อนพันธุ์ก่อน
เกษตรกรต้องหมั่นตรวจแปลงของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และกำจัดทันทีที่พบการระบาด เช่นเด็ดยอดและพ่นสารชีวินทรีย์ (ใช้สารเคมีกำจัดเมื่อจำเป็นเท่านั้น) พึงระลึกไว้เสมอ การใช้สารเคมีบ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหนึ่งให้แมลงสร้างภูมิต้านทาน และดื้อยาในที่สุด (กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้)
ไม่มีความเห็น