เมื่อเช้า อ่านบทความ ดาวโหลดเนื้อหาวิชาการ เพื่อเตรียมการประชุม SRRT ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 แล้ว เจอบทความนี้น่าสนใจ อ่านและทบทวนดูแล้วคิดว่า จะปฏิบัติตัวอย่างไรให้พิชิตโรคไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธได้
ในเมื่อนักวิจัยพบจุดอ่อนของโรคไข้หวัดใหญ่นี้แล้ว ทางเลือกที่จะพิชิตโรคร้ายนี้มีหลายทางมากขึ้น การให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็มีข้อจำกัด
มาช่วยกันคิดและบอกต่อนะคะ สารต้านอนุมูลอิสระ ในบ้านเรามีมากมาย
http://dpc6.ddc.moph.go.th/hotnews/viewhotnews.php?newsid=599
หัวข้อเรื่อง
พบจุดอ่อนเชื้อ "ไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์"
ถูกทำลายได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์เป็นงานวิจัยในวารสาร http://www.fasebj.org/วารสารสหภาพสมาคมอเมริกันเพื่อการทดลองทางชีววิทยา (FASEB Journal) ฉบับเดือน พ.ย.52
จึงได้นำส่วนสำคัญที่ผู้อ่านสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันไข้หวดใหญ่ทุกสายพันธุ์ สารต้านอนุมูลอิสระพบได้ที่สารอาหารประจำวัน พืช ผัก ผลไม้ค่ะ อากาศหนาวแล้วรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
การที่ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเป็นประจำจะช่วยป้องกันความเสียหายในร่างกายที่เกิดขึ้นจากอนุมูลอิสระได้ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระมีหลายชนิด เช่นวิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี, เบตาแคโรทีน, ซีลีเนียม และสารประกอบฟีนอลลิก เป็นต้นซึ่งพบได้ทั่วไปในอาหาร ผัก ผลไม้ ธัญพืช รวมทั้งชาสมุนไพรต่างๆ
ทีมวิจัยสหรัฐฯเจอจุดอ่อนเชื้อไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ พบโปรตีนไวรัสนำเชื้อเข้าทำลายเซลล์ปอดแต่หยุดยั้งได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ปอดถูกทำลายได้อนาคตหวังใช้เป็นแนวทางรักษาผู้ป่วยหลังติดเชื้อหวัดใหญ่
ไซน์เดลีรายงานว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอลาบามาที่เบอร์มิงแฮม (University of Alabama at Birmingham)มลรัฐอลาบามา สหรัฐฯ ค้นพบจุดอ่อนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ที่ทำให้มันต้องพ่ายแพ้แก่สารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนติออกซิแดนต์ (antioxidant)ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวได้ตีพิมพ์ลงในวารสารสหภาพสมาคมอเมริกันเพื่อการทดลองทางชีววิทยา (FASEB Journal)ฉบับเดือน พ.ย. 52
งานวิจัยดังกล่าวระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในพืชและอาหารทั่วไปที่เราบริโภคกันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ไม่ให้ทำลายปอดของผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้
"การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เอช1เอ็น1 (H1N1)และการแพร่กระจายเชื้ออย่างรวดเร็วไปทั่วโลกสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจมากขึ้นคือเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายปอดของผู้ติดเชื้อได้อย่างไรและค้นหาวิธีการรักษาใหม่ที่ได้ผลและที่มากกว่านั้นคืองานวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระอาจมีส่วนช่วยในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่ได้ผลดียิ่งขึ้น"แซดิส มาตาลอน (Sadis Matalon) ศาสตราจารย์ด้านสรีรวิทยา มหาวิทยาลัยอลาบามาซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัยเผย
นักวิจัยศึกษาพบว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าทำลายปอดของผู้ติดเชื้อด้วยโปรตีนเอ็ม 2 (M2 โปรตีน) ของมันเองโดยใช้เป็นตัวนำทางบุกรุกเข้าสู่เซลล์เชื่อบุผิวปอดชั้นในหรืออิพิเทอเลียลเซลล์ (epithelial cells)ซึ่งโปรตีนเอ็ม 2 จะไปรบกวนการทำงานของเซลล์เชื่อบุผิวปอดชั้นใน ในการกำจัดของเหลวที่อยู่ข้างในปอดซึ่งจะทำให้เกิดอาการปอดอักเสบและปัญหาอื่นๆในปอดตามมา
ในการศึกษาวิจัยจนค้นพบข้อมูลดังกล่าว นักวิจัยทำการทดลอง 3 ขั้นตอนขั้นแรกฉีดโปรตีนในปอดที่ถูกทำลายเข้าไปในไข่กบ เพื่อตรวจสอบการทำงานของโปรตีนดังกล่าว ขั้นที่ 2นักวิจัยฉีดโปรตีนเอ็ม 2 และโปรตีนจากปอดเข้าไปในไข่กบพร้อมกันและพบว่าการทำงานของโปรตีนปอดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากนั้นนักวิจัยใช้เทคนิคทางชีววิทยาโมเลกุลทดลองแยกเอาส่วนของโปรตีนเอ็ม 2ที่เชื่อว่าเป็นส่วนที่ทำลายโปรตีนปอดออกมา แล้วทดลองฉีดเข้าไปในไข่กบเหมือนเดิมพบว่าโปรตีนปอดยังคงทำงานได้เหมือนเดิมและไม่ถูกทำลาย
ขั้นสุดท้ายนักวิจัยทดลองฉีดโปรตีนเอ็ม 2 ที่สมบูรณ์ พร้อมกับโปรตีนปอดเข้าไปในไข่กบด้วยกันโดยฉีดยาที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระเข้าไปด้วย พบว่าช่วยป้องกันไม่ให้โปรตีนเอ็ม 2 ทำลายโปรตีนปอดได้และเมื่อนำไปทดลองซ้ำโดยใช้เซลล์ปอดของมนุษย์ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
"แม้ว่าวัคซีนจะยังคงเป็นหนทางแรกในการต่อสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ในระยะยาวที่จะมาถึงทว่างานวิจัยนี้เปิดทางสู่การรักษาแบบใหม่โดยสิ้นเชิงด้วยการใส่เกียร์เดินหน้าหยุดยั้งเชื้อไวรัสหลังจากที่คุณมีอาการป่วยแล้วและต้องขอบคุณงานวิจัยนี้ ที่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งให้เราดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ" เจรัลด์ เวสส์แมนน์ (GeraldWeissmann) หัวหน้าบรรณาธิการวารสาร FASEB Journal กล่าว
ทั้งนี้ สารต้านอนุมูลอิสระคือสารที่มีคุณสมบัติป้องกันและยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของอนุมูลอิสระซึ่งเมื่อร่างกายใช้ออกซิเจนในกระบวนการเผาผลาญอาหาร จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นด้วยนอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายได้ เช่น ควันบุหรี่ รังสียูวีและมลพิษในอากาศ อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยากับโปรตีน ไขมัน และดีเอ็นเอในร่างกายทำให้โมเลกุลดังกล่าวเสียหายและเกิดโรคต่างๆ ตามมา
บทความส่วนหนึ่งจาก โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤศจิกายน 2552