วันนี้ผมได้ forward mail เนื้อหาน่าสนใจ อยู่ในคอลัมภ์จิตวิวัฒน์ อยากเก็บไว้ด้วย เลยเอามาแปะไว้ดื้อๆตรงนี้ครับ
คอลัมน์ จิตวิวัฒน์311009 โดย อนุชาติ พวงสำลี www.thaissf.org, http://twitter.com/jitwiwat แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) |
เมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม พ.ศ.2552 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเข้าร่วมประชุมเรื่อง "การให้การศึกษาพลเมืองโลกสำหรับศตวรรษที่ 21 (Educating the World Citizens for the 21st Century)" ที่ DAR Constitution Hall ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
การประชุมครั้งนี้จัดโดย
Mind
& Life Institute และมีองค์กรร่วมจัดเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงในสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก
อาทิ
มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
สแตนฟอร์ด
เพนซิลวาเนีย
วิสเคาซิล-แมดิสัน
จอร์จ
วอชิงตัน
มิชิแกน
และสมาคมจิตวิทยาอเมริกา
เป็นต้น
โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ
2
พันคน
การจัดประชุมเป็นไปอย่างเรียบง่าย
แบ่งเป็นการสนทนาในภาคเช้าและภาคบ่าย
รวมเป็น
4
ช่วง
แต่ความสำคัญของการประชุมครั้งนี้
นอกจาก
องค์ดาไล
ลามะ
ซึ่งเข้าร่วมประชุมและเป็นผู้ร่วมสนทนาตลอดการประชุมแล้ว
ผู้เข้าร่วมสนทนาในแต่ละช่วง
ยังประกอบด้วย
แพทย์
นักวิทยาศาสตร์
นักการศึกษา
นักบวช
นักพัฒนา
และครูอาจารย์
ที่มีชื่อเสียงและมีผลงานระดับโลก
ซึ่งมีความร่วมมือกันในทางวิชาการมาเป็นระยะเวลายาวนาน
คำถาม สำคัญของการประชุมในครั้งนี้คือ ข้อท้าทายที่ว่าระบบการศึกษาหรือระบบการเรียนรู้ในปัจจุบันจะสามารถตอบสนอง ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร?
เรา จะสามารถจัดการศึกษาหรือกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความ เมตตากรุณา (Compassion) มีสมรรถนะ (Competent) มีจริยธรรม (Ethic) และเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคม (Engaged Citizens) ในท่ามกลางพัฒนาการของโลกและสังคมที่มีความสลับซับซ้อนและเชื่อมโยงไร้ พรมแดนกันได้อย่างไร?
ฐานคิดและความเชื่อของการประชุมนี้
เล็งเห็นว่าการสร้างพลเมืองแห่งอนาคตนั้น
มิสามารถวัดได้ด้วยความรู้และทักษะ
(Cognitive Skills and
Knowledge) เพียงเท่านั้น
แต่เราต้องสร้างเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์
ทั้งกาย
ใจ
และสมอง
ให้เพียบพร้อมด้วยทักษะเชิงอารมณ์
สังคม
และความมีคุณธรรม
ซึ่งโดยรวมๆ
เรียกว่า
กระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญศึกษา
(Contemplative
Practices)
การสนทนาในช่วงแรก
เริ่มจากวิสัยทัศน์หรือมุมมองต่อการพัฒนาพลเมืองของโลก
ซึ่งผู้เข้าร่วมสนทนาต่างเห็นพ้องกันว่า
เยาวชนพลเมืองของโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายจากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน
ปัญหาความรุนแรง
สงคราม
ความขัดแย้ง
ระบบการแข่งขันที่เร่งเร้าความแตกแยกทั้งในด้านเชื้อชาติ
สีผิว
และฐานะทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น
ในสหรัฐอเมริกาเอง
พบว่าความรุนแรงต่อเยาวชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียน
เพิ่มสูงขึ้นถึง
3
เท่า
เยาวชนในสหรัฐอเมริกากว่าร้อยละ
60
กำลังตกอยู่ในสถานะล่อแหลมต่อความรุนแรง
ปัญหาดังกล่าวจึงนับเป็นความน่าห่วงใยในอนาคตของสังคมโลกเป็นอย่างมาก
องค์ดาไล
ลามะ
แสดงทรรศนะในเรื่องนี้ว่า
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวังและความรับผิดชอบต่อสังคม
เรา ต้องสร้างระบบการศึกษาที่เติมเต็มด้วยความเมตตากรุณา (Education with Compassion) การศึกษาต้องสร้างให้คนมีความสุขด้านในอย่างแท้จริง (Truly Inner Happiness)
ดังนั้น ในการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ ครู-อาจารย์จึงมีบทบาทที่สำคัญมาก ครู-อาจารย์ต้องมีสติ (Mindfulness) มีความเมตตากรุณา (Compassion) ในการพัฒนาปัญญา ในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ครูและนักเรียนต้องสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน โดยนัยนี้ การเตรียมความพร้อมของครู-อาจารย์ จึงนับเป็นหัวใจของการจัดการศึกษาเพื่ออนาคต
ในช่วงที่สอง ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่อง ความจดจ่อ (Attention) การควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) และการเรียนรู้ (Learning)
วิทยากรซึ่งเป็นจิตแพทย์ชี้ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นและการควบคุมอารมณ์มีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก หากเด็กมีภาวะอารมณ์ที่เป็นเชิงลบ มีอารมณ์โกรธที่มากเกินไป จะทำลายศักยภาพและความเมตตากรุณาในตน การสอนเยาวชนให้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์จึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการศึกษาถึงพัฒนาการของมนุษย์ ที่จะทำให้เข้าใจว่าพัฒนาการของร่างกายและสมองในช่วงใด ควรใส่การเรียนรู้ด้านจิตตปัญญาอย่างไรที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเยาวชน
นอกจากในเรื่องพัฒนาการของร่างกายและสมองของเด็กแล้ว นักการศึกษาอีกท่านยังชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคง (Security) และความสัมพันธ์ในกระบวนการเรียนรู้ (Relationship in Learning) ก็นับว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน
หน้าที่ ของครู คือการสร้างสำนึกของความรับผิดชอบ ความครุ่นคำนึง การเปิดใจ ความอดทน อุดมคติ เป้าหมายเชิงบวก และแรงจูงใจ เด็กจึงเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการการบ่มเพาะ รดน้ำพรวนดินอย่างดี
ความรู้ ว่าด้วยพัฒนาการของเด็ก (Child Development) จึงมีความสำคัญในการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ (มิใช่เพียงคำนึงถึงแต่เนื้อหาทางวิชาการ - ผู้เขียน)
เช่น เดียวกับความร่วมมือและทำงานร่วมกับชุมชน มีตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมากมายของการจัดการศึกษาในแนวใหม่นี้ เช่น การนำโยคะ ห้องเงียบ สมาธิภาวนา มุมส่วนตัว การฝึกสติ การฝึกความเมตตากรุณา เข้าไปสอดแทรกในกระบวนการเรียนการสอนในสถานศึกษาต่างๆ เป็นต้น
ในช่วงที่สาม ลงลึกในส่วนของความเมตตากรุณา (Compassion) และความเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy)
วิทยากร ในช่วงนี้อธิบายว่า แนวทางจิตตปัญญา (Contemplative Practices) มีความสำคัญต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของพลเมืองและสังคม กระบวนการศึกษาต้องสร้างความเอาใจเขามาใส่ใจเราให้เกิดขึ้นในหัวใจของคน ซึ่งจะนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) ในเพื่อนมนุษย์
การทำงาน ในเรื่องนี้จำต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างเป็นระบบถึงปัจจัยแวดล้อมของ แต่ละคน (Personal Environment) ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) พันธุกรรม (Genetics) ตลอดจนอารมณ์ทางสังคม (Social Emotion)
นอกจาก นี้ วิทยากรยังได้เน้นย้ำเรื่องการพัฒนาครู-อาจารย์อย่างมาก ปัจจุบัน ครู-อาจารย์อยู่ในภาวะที่เครียดเกินไปที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เรียกร้อง ได้ ครู-อาจารย์ไม่สามารถจัดการสมดุลต่างๆ ได้อย่างดี
ครู-อาจารย์ ต้องได้รับการพัฒนาชีวิตด้านใน (Inner Life) ให้เข้มแข็งทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ การปฏิบัติภาวนาและการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Practices) จึงมีบทบาทที่สำคัญมากในการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งของครู-อาจารย์
อย่างไร ก็ตาม ท่านมาติเยอ ริการ์ นักบวชสายทิเบตชาวฝรั่งเศส ซึ่งร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วย ก็ได้ตอกย้ำไว้อย่างน่าสนใจว่า หากเราสนใจเรื่องความเมตตากรุณาและความรัก (Compassion and Love) ที่อยู่ในระดับชีววิทยาหรือร่างกายเท่านั้น คงจะไม่เพียงพอและยั่งยืน แต่เราต้องสนใจในการสร้างความเมตตากรุณาและความรักที่มาและเกิดขึ้นจากด้าน ในของมนุษย์อย่างแท้จริงด้วย
ในช่วง สุดท้าย เป็นบทบูรณาการและการมองทิศทางในอนาคต ศาสตราจารย์ลินดา คณบดีวิทยาลัยศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่า เราคงไม่สามารถทำเพียงแค่นำเรื่องปฏิบัติภาวนาหรือการนั่งสมาธิเข้าไปในระบบ การศึกษาเฉยๆ
อาจารย์ครับ ขอบคุณที่นำข้อคิดดี ๆ มาฝาก
ผมเคยมีโอกาสอ่านหนังสือที่ท่านมาติยอร์ ริการ์ เขียน ชื่อ happiness เข้าใจว่า จะเป็นคนเดียวกับที่อาจารย์กล่าวถึงใช่ไหมครับ
มาเยี่ยมท่านอาจารย์ ครับ
ยังจำที่อาจารย์พูดตอนเป็นวิทยากร "หยั่งราก ผลิใบ" ที่เชียงใหม่
ว่า การที่นักศึกษาแพทย์ตัวเล็กๆ โดนอาจารย์ผู้ใหญ่ตำหนิต่อหน้าคนไข้นั้น
มันเป็นความเจ็บที่ฝังลึก กว่าที่ตัวอาจารย์คิดหลายเท่า
...
ชอบประโยคนี้คะ
" หากครู-อาจารย์ของเรายังอยู่ในภาวะ เครียดและสับสน
มุ่งถ่ายทอดความรู้จากเพียงตำราและเนื้อหาโดยไม่สนใจชีวิตของผู้เรียน
แล้วเราจะสร้างเยาวชนในอนาคตที่มีความสุข มีความรักความเมตตา
เป็นเยาวชนที่รู้จักการเรียนรู้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสันติสุข ได้อย่างไร "
โห...อาจารย์ อยากจะอ่านแต่ขอผ่าน คือยังไม่แก่แต่ตัวขนาดเท่าขี้มดแบบนี้ก็ไม่ไหว ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ทรมานสายตาค่ะ ; P สงสัยว่ามันติด format มาจากที่ copy มา เลยตัวจิ๋ว ไว้กลางวันไม่ง่วงจะมาอ่านใหม่
นับเป็นเรื่องที่ท้าทายกับทิศทางในการจัดการศึกษาในสถาบันการศึกษาบ้านเรา แต่ทว่าสังคมนั้นมีความเป็นระบบและมีความเกี่ยวเนื่องกัน หากว่าสถาบันการศึกษาขยับเพียงอย่างเดียวก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ ยังต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรและสถาบันต่างๆทางสังคมทำให้เกิดการขับเคลื่อนทั้งระบบ ปัญหาก็คือเราจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี จะจัดการกับคนที่ติดกรอบปิดหูปิดตาไม่ยอมเปิดตาเปิดหูเปิดใจในสังคมบ้านเราอย่างไรดี นับเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เราต้องร่วมคิดร่วมทำ เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญามีคุณธรรมจริยธรรมมีความสงบสุขต่อไปครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่อาจารย์เก็บมาให้พวกเราได้อ่านครับ
สวัสดีครับ
แวะมาเยี่ยมและอ่านบันทึกดี ๆ ครับ
เป็นข้อเสนอที่ท้าทายมากครับ...
สวัสดีค่ะ
หนูอ่านแล้ว แนวคิดคล้ายกับโรงเรียนสัตยาไสย ของดร.อาจองเลยค่ะ