Educating the World Citizens


จิตตปัญญาศึกษา การปฏิรูปการเรียนรู้

Educating the World Citizens

 

                เมื่อวันที่ 8-9 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเข้าร่วมประชุมเรื่อง Educating the World Citizens for the 21st Century ที่ DAR Constitution Hall ณ กรุง Washington D.C. ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จัดโดย Mind & Life Institute และมีองค์กรร่วมจัดเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงในสหรัฐอเมริการจำนวนมาก อาทิ Harvard Graduate School of Education, Stanford University School of Education, College of Education at Pennsylvania State University, University of Wisconsin-Madison School of Education, American Psychological Association, George Washington University, และ University of Michigan School of Education เป็นต้น โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 2,000 คน

                การจัดประชุมเป็นไปอย่างเรียบง่าย แบ่งเป็นการสนทนาในภาคเช้าและภาคบ่าย รวมเป็น 4 sessions แต่ความสำคัญของการประชุมครั้งนี้ นอกจากองค์ดาไล ลามะ ซึ่งเข้าร่วมประชุมและเป็นผู้ร่วมสนทนาตลอดการประชุมแล้ว ผู้เข้าร่วมสนทนาในแต่ละ session ยังประกอบด้วย แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษา นักบวช นักพัฒนา และครูอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงและมีผลงานระดับโลก ซึ่งมีความร่วมมือในทางวิชาการร่วมกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน

                คำถามสำคัญของการประชุมในครั้งนี้คือ ข้อท้าทายที่ว่าระบบการศึกษาหรือระบบการเรียนรู้ในปัจจุบันจะสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร? เราจะสามารถจัดการศึกษาหรือกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความเมตตากรุณา (Compassion) มีสมรรถนะ (Competent) มีจริยธรรม (Ethic) และเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคม (Engaged Citizens) ในท่ามกลางพัฒนาการของโลกและสังคมที่มีความสลับซับซ้อนและเชื่อมโยงไร้พรมแดนกันได้อย่างไร?

            ฐานคิดและความเชื่อของการประชุมนี้ เล็งเห็นว่า การสร้างพลเมืองแห่งอนาคตนั้น มิสามารถวัดได้ด้วยความรู้และทักษะ (Cognitive Skills and Knowledge) เพียงเท่านั้น แต่เราต้องสร้างเด็กและเยาชนคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้ง กาย ใจ และ สมอง ให้เพรียบพร้อมด้วย ทักษะเชิงอารมณ์ สังคม และความมีคุณธรรม ซึ่งโดยรวมๆ เรียกว่า กระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญศึกษา (Contemplative Practices)

                การสนทนาใน Session แรก เริ่มจากวิสัยทัศน์หรือมุมมองต่อการพัฒนาพลเมืองของโลก ซึ่งผู้เข้าร่วมสนทนาต่างเห็นพ้องกันว่า เยาวชนพลเมืองของโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายจากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ปัญหาความรุนแรง สมคราม ความขัดแย้ง ระบบการแข่งขันที่เร่งเร้าความแตกแยกทั้งในด้านเชื้อชาติ สีผิว และฐานะทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาเอง พบว่า ความรุนแรงต่อเยาวชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียน เพิ่มสูงขึ้นถึง 300% เยาวชนในสหรัฐอเมริกากว่า 60% กำลังตกอยู่ในล่อแหลมต่อความรุนแรง ปัญหาดังกล่าวจึงนับเป็นความน่าห่วงใยในอนาคตของสังคมโลกเป็นอย่างมาก

            องค์ดาไล ลามะ แสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยความหวังและความรับผิดชอบต่อสังคม เราต้องสร้างระบบการศึกษาที่เติมเต็มด้วยความเมตตากรุณา (Education with Compassion) การศึกษาต้องสร้างให้คนมีความสุขด้านในอย่างแท้จริง (Truly Inner Happiness) ดังนั้น ในการจัดการศึกษาเพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ ครู-อาจารย์ จึงมีบทบาทที่สำคัญมาก ครู-อาจารย์ต้องมี Mindfulness มี Compassion ในการพัฒนาปัญญาในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ครูและนักเรียนต้องสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ร่วมกัน โดยนัยนี้ การเตรียมความพร้อมของครู-อาจารย์จึงนับเป็นหัวใจของการจัดการศึกษาเพื่ออนาคต

                ใน Session ที่สอง ให้ความสำคัญกับประเด็น เรื่อง ความจดจ่อ (Attention) การควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) และการเรียนรู้ (Learning) วิทยากรซึ่งเป็นจิตแพทย์ ชี้ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นและการควบคุมอารมณ์มีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก หากเด็กมีภาวะอารมณ์ที่เป็นเชิงลบ มีอารมณ์โกรธที่มากเกินไป จะทำลายศักยภาพและความเมตตากรุณาในตน การสอนเยาชนให้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์จึงมีความสำคัญมาก ซึ่งในเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการศึกษาถึงพัฒนาการของมนุษย์ ที่จะทำให้เข้าใจว่า พัฒนาการของร่างกายและสมองในช่วงใด ควรใส่การเรียนรู้ด้านจิตตปัญญาอย่างไรที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเยาวชน

                นอกจากในเรื่องพัฒนาการของร่างกายและสองของเด็กแล้ว นักการศึกษาอีกท่านยังชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคง (Security) และความสัมพันธ์ในกระบวนการเรียนรู้ (Relationship in Learning) ก็นับว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน หน้าที่ของครูคือการสร้าง สำนึกของความรับผิดชอบ ความครุ่นคำนึง การเปิดใจ ความอดทน อุดมคติ เป้าหมายเชิงบวก และแรงจูงใจ เด็กจึงเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการการบ่มเพาะ รดน้ำพรวนดินอย่างดี ความรู้ว่าด้วยพัฒนาการของเด็ก (Child Development) จึงมีความสำคัญในการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ (มิใช่เพียงคำนึงถึงแต่เนื้อหาทางวิชาการ – ผู้เขียน) เช่นเดียวกับความร่วมมือและทำงานร่วมกับชุมชน มีตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมากมายของการจัดการศึกษาในแนวใหม่นี้ เช่น การนำโยคะ ห้องเงียบ สมาธิภาวนา มุมส่วนตัว การฝึก Mindfulness การฝึก Compassion เข้าไปสอดแทรกในกระบวนการเรียนการสอนในสถานศึกษาต่างๆ เป็นต้น

                ใน Session ที่สาม ลงลึกในส่วนของความเมตตากรุณา (Compassion) และความเอาใจเขามาใส่ใจเรา (Empathy) วิทยากรในช่วงนี้อธิบายว่า แนวทางจิตตปัญญา (Contemplative Practices) มีความสำคัญต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของพลเมืองและสังคม กระบวนการศึกษาต้องสร้างให้เกิด Empathy ในหัวใจของคน ซึ่งจะนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) ในเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการทำงานในเรื่องนี้ต้องการการศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างเป็นระบบถึงปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคน (Personal Environment) ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (Emotion Regulation) พันธุกรรม (Genetics) ตลอดจน Social Emotion

            นอกจากนี้ วิทยากร ยังได้เน้นย้ำเรื่องการพัฒนาครู-อาจารย์ อย่างมาก ปัจจุบัน ครู-อาจารย์ อยู่ในภาวะที่เครียดเกินไปที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เรียกร้องได้ ครู-อาจารย์ ไม่สามารถจัดการสมดุลต่างๆ ได้อย่างดี ครู-อาจารย์ ต้องได้รับการพัฒนาชีวิตด้านใน (Inner Life) ให้เข้มแข็ง เข้มแข็งทั้ง กาย ใจ และจิตตวิญญาณ การปฏิบัติภาวนาและการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Practices) จึงมีบทบาทที่สำคัญมากในการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งของครู-อาจารย์ อย่างไรก็ตาม ท่านมาติเยอ ริการ์ นักบวชสายทิเบตชาวฝรั่งเศส ซึ่งร่วมอยู่ในวงสนทนาด้วย ก็ได้ตอกย้ำไว้อย่างน่าสนใจว่า หากเราสนใจเรื่อง ความเมตตากรุณาและความรัก (Compassion and Love) ที่อยู่ในระดับชีววิทยาหรือร่างกายเท่านั้นคงจะไม่เพียงพอและยั่งยืน แต่ เราต้องสนใจในการสร้างความเมตตากรุณาและความรัก ที่มาและเกิดขึ้นจากด้านในของมนุษย์อย่างแท้จริงด้วย

            และใน Session สุดท้าย เป็นบทบูรณาการและการมองทิศทางในอนาคต ศาสตราจารย์ลินดา คณบดีวิทยาลัยศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าวว่า เราคงไม่สามรถทำเพียงแค่นำเรื่องปฏิบัติภาวนาหรือการนั่งสมาธิเข้าไปในระบบการศึกษาเฉยๆ เพราะระบบอาจจะยังไม่เอื้ออำนวย แต่เราต้องเน้นความสำคัญในเรื่องการศึกษาเพื่อสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เราต้องสร้างเรื่องความสุขหรือสุขภาวะทั้งระบบโรงเรียน (Whole School Happiness) ซึ่งกินความรวมถึงความสุขส่วนบุคคล ความรับผิดชอบต่อสังคม กระบวนการเรียนรู้เติบโตและพัฒนาร่วมกัน และการทำงานเป็นทีมของครู-อาจารย์ในสถานศึกษานั้นๆ ดังนั้น การจัดการศึกษาจึงต้องมีความหลากหลาย ระบบการเรียนรู้ใหม่ต้องเข้าใจพัฒนาการมนุษย์ มีทรัพยากรที่พอเพียง และระบบการศึกษาต้องไม่ทอดทิ้งให้เยาวชนคนใดตกขบวน (No Child Left Behind) ซึ่งในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ทากาโอะ เฮนซ์ แพทย์ทางสมอง แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ก็ยังย้ำว่า ประสบการณ์ในช่วงต้นของชีวิต (Early Life Experiences) นับว่ามีความสำคัญมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ และเราจำเป็นต้องศึกษาและเข้าใจกลไกการทำงานของสมองว่า ช่วงที่เป็นวิกฤต (Critical Period) นั้นมีความสำคัญมากสำหรับกระบวนการเรียนรู้เพื่อความเมตตากรุณา

            ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิด แห่งมหาวิทยาลัยวิสเคาซิล แมดิสัน ซึ่งทำงานวิจัยระยะยาวในเรื่องนี้ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นที่น่ายินดีว่า สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง Contemplative Science และ Basic Science คือต่างเห็นพ้องกันว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้ (Change is Possible) และยังเน้นย้ำถึงทิศทางการวิจัยที่มีความสำคัญในอนาคตว่า 1) การศึกษาว่าด้วยความเมตตากรุณานั้น ไม่ควรจำกัดอยู่ในระดับบุคคลเท่านั้น แต่ควรศึกษาว่า ความเมตตากรุณา มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรอบข้างหรือสังคมอย่างไร (Social Impacts) 2) เราควรก้าวข้ามการทดสอบทางการศึกษาแบบปรนัย (Choice Test) เพราะไม่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงได้เลย ดังนั้น เราควรเร่งศึกษาถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงในตัวมนุษย์ที่มีความหลากหลาย 3) ความสุขคือเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์และสังคม ความสุขของมนุษย์จึงมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งต่อสุขภาวะของสังคมโดยรวม 4) นักวิทยาศาสตร์ต้องใส่ใจศึกษาเรื่อง ความจดจ่อ (Attention) เพราะความเข้าใจในเรื่องนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจในพฤติกรรมของเยาวชนและกระบวนการเรียนรู้ของเขา เด็กติดเกมส์ เพราะเกมส์สร้างให้เกิดความจดจ่อในเด็ก เราไม่ควรเพียงแค่ปฏิเสธเกมส์ แต่ความท้าทายคือทำอย่างไรให้เกมส์เป็นเกมส์ที่สร้างสรรค์และสร้างให้เดความรักความเมตตา อนึ่ง เราต้องการกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย วิธีการหนึ่งจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน และ 5) สุดท้าย ทีมวิจัยแบบบูรณาการ (Transdisciplinary Team) และการเชื่อมโยงงานวิจัยพื้นฐานสู่ปฏิบัติการจริงในพื้นที่ (Translational Research to the Field) นั้น มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเรื่องนี้

                ในตอนท้าย องค์ดาไล ละมะ ได้กลับมาสรุปเพื่อตอกย้ำอีกครั้งว่า การสร้างแรงจูงใจและความตระหนัก ต่อการสร้างการเรียรรู้เพื่อการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมีความสำคัญมาก การสร้างทัศนะในเชิงบวก เราต้องสร้าง Mindfulness ทุกนาที เราต้องมีทั้ง วจีกรรม (Verbal Action) กายกรรม (Physical Action) และมโนกรรม (Mind Action)

                ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ อดสะส้อนย้อนนึกมาถึงกระบวนการเรียนรู้ของระบบการศึกษาของเราไม่ได้ว่า ณ ดินแดนพุทธภูมิแห่งนี้ เราดูเหมือนจะละเลยนำสิ่งที่ดีมีคุณค่ายิ่งในแผ่นดินมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์และเยาวชนคนรุ่นหลัง การจัดการศึกษาที่เดินรอยตามฝรั่งรังแต่จะสร้างสมปัญหาอย่างมากมายมหาศาล การศึกษาไทยเร่งสร้างให้เกิดการแข่งขันและเอาชนะ ในวันนี้การจัดการศึกษาในโลกตะวันตกกำลังเปลี่ยนไปเพื่อเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ของมวลมนุษยชาติ แต่การศึกษาของไทยและวงการวิชาการไทยกำลังติดกับอยู่กับการแข่งขันจนละเลยการพัฒนาความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง หากครู-อจารย์ของเรายังอยู่ในภาวะเครียดและสับสน มุ่งถ่ายทอดความรู้จากเพียงตำราและเนื้อหาโดยไม่สนใจชีวิตของผู้เรียน แล้วเราจะสร้างเยาวชนในอนาคตที่มีความสุข มีความรักความเมตตา เป็นเยาวชนที่รู้จักการเรียนรู้และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างสันติสุขได้อย่างไร หากการปฏิรูปการศึกษารอบสองของเราไม่สามารถก้าวข้ามหลุมดำที่ยิ่งใหญ่นี้ไปได้ อนาคตของสังคมไทยคงอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วงยิ่ง

 

รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสำลี

ปล. เชิญเข้าร่วมประชุมวิชาการจิตตปัญญาครั้งที่ 2 วันที่ 2-4 ธันวาคม พ.ศ.2552 ณ รร.รามาการ์เด็นท์ สนใจติดต่อ www:ce.mahidol.ac.th

 

หมายเลขบันทึก: 306799เขียนเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 22:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 08:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • แวะเข้ามา เลยได้อ่านเรื่องดีๆยามดึกครับอาจารย์ เป็นความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่น่าสนใจมากเลยครับ
  • อันที่จริง ผู้นำการประชุมเรื่องทำนองนี้ หรือการขับเคลื่อนแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาและการพัฒนาสังคมอย่างนี้ น่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย หรือกลุ่มประเทศในโลกตะวันออกนะครับ ได้อ่านแล้วต้องคิดใหม่อีกหลายอย่างครับ
  • โดยปรกติแล้ว การปรับปรุง Approach และวิธีทดสอบกับประเมินผลทางการศึกษานั้น กระบวนการในองค์ประกอบอื่นๆก็จะลู่เข้าหาหมด จึงจะส่งผลทางการปฏิบัติได้เร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากด้านอื่น แต่ก็ต้องมีการศึกษา และพัฒนามากเลยนะครับ
  • ผมได้แวะไปที่สำนักงานอธิการบดีและได้ทราบว่าอาจารย์ไปอเมริกา คงจะเป็นการไปร่วมประชุมนี้นั่นเอง เลยได้ฝากหนังสือ วิถีประชาศึกษา ไว้ให้อาจารย์เล่มหนึ่งครับ เป็นเรื่องที่น้องๆเขาแอบทำเซอร์ไพรซ์โดยดึงออกไปจากบล๊อกนี้ไปทำหนังสือ แล้วก็มีการวิ่งแอบมาให้อาจารย์ร่วมเขียนสิ่งเล็กๆน้อยให้ด้วย
  • ประทับใจมากเลยครับ หากไม่มองที่การเป็นหนังสือที่ทำให้คนคนหนึ่งแล้ว ผมคิดว่าอาจารย์และผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยจิตใจกว้างให้เด็กๆเขาได้แสดงออกหลายเรื่องในสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตใจอย่างได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด ทำให้คนทำงานมีบทเรียนชีวิตที่เขาเชื่อมั่นว่าเป็นการทำสิ่งดี(แม้ไม่ได้เกี่ยวกับการทำเพื่อมีผลงาน)เพื่อวางใจต่อการได้แสดงความเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยและร่วมสร้างสรรค์วัฒนธรรมองค์กรที่ลึกซึ้งมากเลยครับ

เรียน อาจารย์อนุชาติ ที่เคารพ

     เคยอ่านหนังสือจิตตปัญญาศึกษามาบ้าง  น่าสนใจมากค่ะ  โดยเฉพาะ "การพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้ง กาย ใจ และ สมอง ให้เพรียบพร้อมด้วย ทักษะเชิงอารมณ์ สังคม และความมีคุณธรรม"  ดังที่อาจารย์กล่าว  ทั้งด้วยอยากพัฒนาตนเอง  และนำมาใช้ในงานพัฒนาเครือข่ายเด็ก ๆ ในชุมชนที่ทำงานด้วย  ที่บ้านหนูเอง  ("บ้านนอก"  หมายถึง  เขตชนบทค่ะ  อำเภอสระใคร  จังหวดหนองคาย)

      ส่งใบสมัครประชุมวิชาการจิตตปัญญาครั้งที่ 2  แล้วนะคะ  หวังว่าจะได้สวัสดีอาจารย์ด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง

                     สวัสดีทางตัวเขียนก่อนนะคะ

                              ธิรัมภา

ด้วยความยินดีครับ แล้วพบกันที่งานสัมมนานะครับ

อนุชาติ

 เห็นอาจารย์ไกลพอควรค่ะ  ช่วงกล่าวรายงานการจัดประชุม  ได้แต่สวัสดีในใจ

เป็นการเข้าร่วมประชุมที่สาระมีค่า  หาฟังไม่ได้ง่าย ๆ  จากผู้นำทางความคิดของสังคมไทย  ความเห็นต่าง / แย้ง....ยังน่าฟังมาก ๆ

บรรยากาศการประชุมแตกต่างจากที่เคย ๆ ไปมาค่ะ (เป็นครั้งแรกที่ไปของมหิดลจัด)

มีความสุข...มากกกกกก  เรียกสติมาอยู่กับปัจจุบันได้ง่ายกว่าชีวิตปกติ

นำกลับมาระลึกใช้เสมอ...เมื่อเริ่มรู้ว่าใจไม่จดจ่อกับเหตุการณ์ตรงหน้า

ได้เปิดโลกแห่งการเรียนรู้......เพื่อพัฒนาด้านใน

เป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญในชีวิต  ซึ่งยังต้องก้าวอีกยาวไกล

ขอบพระคุณศูนย์จิตตปัญญาศึกษา  มหิดล นะคะ...ที่ให้โอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ  รวมทั้งใน  workshop วันแรก

จะเฝ้าดูตัวเองและพัฒนาต่อไปค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท