ต่อจากบทความส่วนแรกครับ
เนื่องด้วยเหตุผลนานับประการดังกล่าว ทำให้วงการภาพยนตร์และประชาชนเบื่อหน่ายเพราะต้องบริโภคสื่อภาพยนตร์ที่ถือ ได้ว่า “จำเจ ไม่มีของใหม่ ” ในช่วงเวลานั้นเอง นาย แจ็ค วาเลนติ ซึ่งเป็นประธานของ Motion Picture Association of America หรือ M.P.A.A. ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 ก็ได้อาศัยช่วงเวลานี้พลิกวิกฤต ให้เป็นโอกาส โดยเป็นแกนนำในการเรียกร้องให้ยกเลิกระบบ Production Code และจัดการยกเลิกไปจนได้ และเกิดระบบใหม่ขึ้นมาเรียกว่า “ระบบแบ่งอายุคนดู” หรือที่เรารู้จักกันในนาม “การแบ่งเรทภาพยนตร์”
ระบบแบ่งอายุคนดูเป็นผลจากความร่วมมือกันของ M.P.A.A. สมาคมเจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติ และกลุ่มผู้จัดจำหน่ายอิสระ ในอันที่จะหากระบวนการใหม่มาเป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองโดยไม่ถูกก้าวก่ายจาก ภายนอก ฝ่ายต่างๆในวงการภาพยนตร์เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นสิ่งที่ใช้บอกแนวทาง มิใช่การบังคับ โดยถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 1968 และอยู่คู่วงการภาพยนตร์สหรัฐฯ มาจนถึงปัจจุบัน
แจ็ค วาเลนติเคยกล่าวเอาไว้ว่า “การแบ่งอายุคนดูมีเป้าประสงค์อยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการให้คำแนะนำล่วงหน้าเพื่อ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้มีแนวทางสำหรับการตัดสินใจ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดูหนังของลูกๆ จริงๆ แล้วทั้งหน่วยงานรัฐ จิตแพทย์ หรือฝ่ายแบ่งอายุคนดู ไม่มีสิทธิไปกำหนดว่าพ่อแม่ควรจะดูแลลูกแบบไหน พ่อแม่เองเท่านั้นที่ทรงสิทธิโดยสมบูรณ์ในการตั้งมาตรฐานให้ลูกๆ ปฏิบัติ ”
แผนกงานแบ่งอายุคนดู หรือ Classification and Rating Administration (CARA) ไม่มีอำนาจในการบังคับให้ผู้สร้างฯ ต้องส่งภาพยนตร์ให้พิจารณา หรือต้องติดเรทตามที่ได้รับพิจารณา หากส่งให้พิจารณาแล้วไม่พอใจในผลที่ M.P.A.A. ตัดสินให้เรทไว้ และไม่ต้องการที่จะดัดแปลงแก้ไขตัวภาพยนตร์อีก ก็สามารถนำออกฉายได้โดยไม่ต้องติดเรท หรือติดเรทที่อุปโลกน์ขึ้นมาเองก็ได้ แต่ต้องไม่ซ้ำกับเรทที่ทาง M.P.A.A. จดลิขสิทธิ์ไว้แล้ว เรทที่ M.P.A.A. เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศสหรัฐฯ มีดังต่อไปนี้
G – General Audiences
เป็นภาพยนตร์ที่ชมได้ทุกเพศทุกวัย ไม่มีพิษมีภัย หรือสิ่งที่พ่อแม่ต้องกังวลว่าจะไม่สมควรกับเด็ก
PG – Parental Guidance
อาจมีบางฉากหรือบางซีน ที่มีบทพูดหรือภาพที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง สามารถให้คำแนะนำกับเด็กได้
PG 13 – Parental Guidance 13
M.P.A.A. เพิ่มเติมเรทนี้ขึ้นมาในปี 1984 เพราะผลจากภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and The temple of Doom ซึ่งมีความหยาบคายของภาพและภาษาที่ใช้สนทนา โดยเฉพาะฉากที่เด็กถูกควักหัวใจออกมาเพื่อบูชายันต์ ก่อให้เกิดเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาอย่างรุนแรง เพราะได้เรท PG ในตอนแรก ทำให้ต้องออกเรท PG – 13 ขึ้นมาเสริม โดยเป็นตัวบ่งบอกให้พ่อแม่เพิ่มความระมัดระวังสำหรับลูกที่ยังไม่ย่างเข้า สู่วัยรุ่น (ที่มาของเลข 13) เพราะระดับของบางสิ่งบางอย่างนั้นรุนแรงมากกว่า PG
R – Restricted
เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี เพราะระดับของบางสิ่งบางอย่างนั้นรุนแรงมาก เด็กไม่อาจแยกแยะได้ดีเท่ากับผู้ใหญ่ เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี ต้องมีผู้ปกครองพามาชมด้วย มิฉะนั้นไม่ได้รับอนุญาต แต่ในทางปฏิบัติก็อนุโลมให้ใช้ใบรับรองจากผู้ปกครองได้ และผู้ปกครองเองควรศึกษาภาพยนตร์เรื่องนั้นๆก่อนจะอนุญาตให้เด็กเข้าชม
NC 17 – No Children Under 17 Admitted
เป็นเรทที่เพิ่มเติมมาในปี 1990 เพราะภาพยนตร์เรื่อง Henry and June ซึ่งเป็นบทประพันธ์อีโรติกที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริง โดยนักประพันธ์อีโรติก (อนานิส นิน) Theme ของภาพยนตร์ก็ออกมาในเชิงอีโรติกอย่างชัดเจน แต่ด้วยความงามของภาพที่ได้ มุมมองการนำเสนอ เรื่องราวน่าสนใจติดตาม ทำให้มีการต่อสู้กันในชั้นศาล จนกระทั่งได้ข้อสรุปออกมาเป็นเรท NC 17 เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะกับเด็กโดยเด็ดขาด เด็กต่ำกว่า 17 ปีเข้าห้ามชมโดยเด็ดขาด
X
เป็นเรทที่น่าสนใจเพราะ M.P.A.A. ไม่ได้จดลิขสิทธิ์เอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ความหมายก็ใกล้เคียงกับ NC 17 ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมายในยุคปัจจุบัน คนทั่วไปมักจะคิดว่า เรท X คือภาพยนตร์ที่แสดงภาพกิจกรรมทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง (Porno Films)เท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว เรท X ยังถูกกำหนดไว้ให้กับภาพยนตร์ที่มีลักษณะที่มีภาพความรุนแรงเกินไปหรือมีภาพ ที่สร้างความขัดแย้งทางศาสนา เชื้อชาติและการเมืองระหว่างประเทศด้วย
ถึงแม้ว่า M.P.A.A. จะเป็นองค์กรอิสระ ทำหน้าที่เพียงการติดเรทให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่นำมาให้พิจารณาเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ที่ถูกติดเรท X จะไม่สามารถลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ได้ในวงกว้าง โรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ก็จะปฏิเสธที่จะนำมาฉาย โดยมีเหตุผลทางศีลธรรมจรรยา และความรับผิดชอบต่อสังคม ในสหรัฐฯ มีการให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้มาก
แต่ ในความเป็นจริงแล้วภาพยนตร์ที่แสดงภาพ กิจกรรมทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง หรือที่เรารู้จักกันในนามของหนังโป๊ ก็คว้าเอาเรท X ไปใช้ในความหมายเชิงการค้าของตนเอง เพราะรู้ดีว่าถ้าส่งให้ M.P.A.A. ตรวจยังไงก็ได้เรท X อยู่ดี ดังนั้นอุปโลกน์เอามาใช้เองเลยเป็นการดีกว่า ทำให้ภาพของเรท X ในมุมมองประชาชนทั่วไปเลยกลายไปเป็นหนังโป๊ไปเสีย เรท R ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย คนมองว่า เรท R ก็คือภาพยนตร์ที่มีฉากโป๊แต่ไม่เปลือย ซึ่งถือว่ายิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที
ใน อดีตที่ผ่านมาก็มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ ได้รับเรท X มาแต่ก็ดิ้นรนแก้ไขตัดต่อใหม่จนได้เรท R หรือนำมาฉายโดยไม่ติดเรทแทนไม่ว่าจะเป็น A Clockwork Orange , Tie Me Up! Tie Me Down!, The Damned ,Last Tango in Paris และที่สำคัญที่สุดคือ Midnight Cowboy ซึ่งเป็นภาพยนตร์รางวัล OSCAR ประจำปี 1969 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีถือเป็นภาพยนตร์รางวัล OSCAR เรื่องเดียวที่ได้เรท X ในยุคปัจจุบันเรท R คือเรทยอดนิยมของผู้สร้าง หมดสมัยเสียแล้วที่พอได้เรท R แล้วต้องดิ้นรนอุทธรณ์เพื่อให้ได้เรทที่ลดต่ำลงกว่าเดิม เป็นการพิสูจน์ว่า ภาพยนตร์เรท R ก็สามารถทำเงินได้ สังเกตได้จากภาพยนตร์จาก ฮอลลีวูด หลายเรื่องที่ติดเรท R แต่ก็ประสบผลสำเร็จในแง่ยอดขายนับตั้งแต่เรื่อง Beverly Hills Cop เป็นต้นมา
การเปิด ช่องที่ให้ผู้สร้างฯ สามารถนำเอาภาพยนตร์ที่ถูกตัดสินให้ได้เรท R,X หรือ NC 17 สามารถนำไปแก้ไขแล้วส่งมาพิจารณาใหม่ ทำให้หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยเพราะเท่ากับเปิดช่องให้มีการ “ลักไก่” เกิดขึ้นได้ บางครั้งก็มีภาพยนตร์บางเรื่อง สร้างจุดขายต่อในการวางแผนการขายเมื่อภาพยนตร์ลาโรงไปแล้ว เช่น “เพิ่มฉากที่คุณไม่ได้เห็นในโรงอีก 6 นาที” หรือ “ฉบับตัดต่อใหม่” เป็นต้น
ผู้ พิพากษา ชาร์ล อี รามอส ซึ่งเคยตัดสินในกรณีที่ภาพยนตร์หลายเรื่องถูกตีตราให้ติดเรท R, X แต่พอถูกนำไป “ตัดต่อใหม่” ก็ได้รับเรทที่เบาลงมา โดยที่จริงๆ แล้วแทบไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย เคยสร้างความฮือฮาให้กับวงการภาพยนตร์ในปี 1990 โดยออกแถลงการณ์เป็นเอกสารมีข้อกล่าวหาค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับการทำงานติด เรทให้กับภาพยนตร์ของ M.P.A.A. ความยาว 15 หน้า สรุปใจความสำคัญได้ว่า “เป็นผู้สร้างภาพลวงตาว่าเป็นผู้ปกป้องและคุ้มครองเด็กๆ และต่อต้านการเซนเซอร์ แต่แล้วกับเอื้ออำนวยให้ตลาดภาพยนตร์กลาดเกลื่อนไปด้วยภาพยนตร์ที่ใช้ความ รุนแรงอย่างเกินเลย โดยมีการตีตรายอมรับจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นประกัน”
ใน ปัจจุบันนี้กลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์อิสระ หลายกลุ่มได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มเรท A – Adult Films ขึ้นมาแทนเรท X เพื่อแยกภาพยนตร์ศิลปะออกจากหนังโป๊ เสียที เพราะส่วนใหญ่ผู้สร้างภาพยนตร์อิสระ หรือที่เราเรียกกันว่า Indy มักจะมีปริมาณภาพความรุนแรงและเซ็กซ์ อยู่สูง แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องของศิลปะ เป็นจินตนาการของผู้สร้าง มากกว่าแสวงหาประโยชน์เพียงอย่างเดียวเหมือนหนังโป๊ และทำให้ภาพยนตร์ Indy เหล่านี้สามารถนำไปฉายได้ทั่วไป โดยไม่ต้องกลัวว่าโรงภาพยนตร์ที่ฉายจะถูกเหมารวมว่าเป็นโรงฉายหนังโป๊ เพราะ โรงฉายหนังโป๊ ในต่างประเทศสามารถหาชมได้ไม่ยาก
เมื่อ พิจารณารวมๆแล้ว ระบบแบ่งอายุคนดูที่ใช้ในต่างประเทศ โดยหลักการแล้วมันยังเป็นสิ่งที่น่าจะยอมรับกันได้มากกว่าการเซนเซอร์ เพียงแต่ว่าผู้ที่ใช้มันจะมีความยับยั้งชั่งใจต่อการ “เห็นประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ต่อส่วนรวม” แต่ในความเป็นจริงการแบ่งเรทเหล่านี้ก็เป็นเพียง “เสือกระดาษ” อยู่ดี ไม่ว่าในตัวของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ มีปริมาณภาพความรุนแรงและเซ็กซ์อยู่ทั้งเรื่อง แต่หากมันมีที่มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ทุกอย่างก็จะถูกลืมไปในทันที เพราะเม็ดเงินและบารมีของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านั้น
สรุป
ประเทศ ไทยของเรา ผู้เรียบเรียงมีความคิดเห็นว่า น่าจะมีการใช้ระบบแบ่งอายุคนดูได้แล้ว เพราะปัจจุบัน สื่อภาพยนตร์เสมือนดาบสองคม มีทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ไม่ดี สำหรับเด็กและเยาวชน ตัวผู้เรียบเรียงเองยังจำได้ดี เมื่อช่วงปี 2001 คือ “จันดารา” ถือเป็นภาพยนตร์ไทยอีโรติกเรื่องแรกที่มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยก่อนที่จะ เข้าฉายมีการโปรยคำเตือนตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่เหมาะสำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งนับว่ากล้าและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมาก ไม่เคยมีใครคิดทำมาก่อนโดยให้เหตุผลที่ว่า “กลัวขาดทุนตั้งแต่ยังไม่ได้ฉาย” มีการออกข่าวว่าต้องมีการเซนเซอร์กันใหม่หลายครั้ง ทำให้กำหนดการลงโรงต้องเลื่อนหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นเหตุผลทางการตลาดแฝงก็ได้เพราะปัจจุบันนี้มีภาพยนตร์ทั้งไทยและ เทศหลายเรื่อง ใช้วิธีการคล้ายๆกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างกระแสต่อต้านภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ อ้างโน่นอ้างนี่ สุดท้ายก็ตกลงกันได้ ผลก็คือประชาชนจากไม่เคยคิดที่จะไปดูเริ่มอยากดู บางคนก็จะต้องไปดูให้ได้ ถือเป็นการลงทุนการตลาดที่ต่ำแต่ได้ผลเชิงจิตวิทยา เพราะแม้บางเรื่องไม่ประสบผลสำเร็จเมื่อฉายในโรงภาพยนตร์นัก แต่ก็สามารถขายได้ในตลาดต่างประเทศและตลาดขายปลีก
ผู้ เรียบเรียงก็เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งได้ชม ตั้งแต่รอบปฐมทัศน์เพราะชื่นชอบบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้เห็นภาพที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นคือ มีเด็กนักเรียนชาย-หญิง ซึ่งจากการพิจารณาแล้วอายุไม่เกิน 18 ปีแน่นอนจูงมือกันมาดูทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบสถาบันของตน แล้วพอชมเสร็จก็ถึงขั้นที่ประคองกอดกันออกจากโรงภาพยนตร์ไป มีสายตาของคนหลายคนที่เห็นเหมือนผู้เรียบเรียง และก็หันหน้ามามองกันแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็น ทำไมโรงภาพยนตร์ถึงได้ปล่อยให้เด็กเหล่านี้เข้ามาดูได้? และที่สำคัญที่สุดเมื่อชมเสร็จ พวกเขาเหล่านี้คงไม่ไป……?
อาจ มองว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา.. ถูกต้องครับ นี่คือความคิดของคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่ไม่สนใจใครนอกจากตนเอง แต่คุณลองหันกลับมาคิดสิครับว่า หากเป็นลูกหลานหรือเป็นคนรู้จักของคุณ…คุณจะยังนิ่งเฉยได้หรือไม่ ลองพิจารณาดู พ่อแม่ผู้ปกครองให้ความสนใจบุตรหลานให้มากกว่าที่เป็นอยู่ อย่างน้อยเมื่อเขาเหล่านั้นมาขอเงินของคุณไปชมภาพยนตร์ ก็ลองพิจารณาภาพยนตร์ในเรื่องนั้นให้ดีก่อนอาจไปดูเป็นเพื่อนหรือหาข้อมูล จากสื่อต่างๆก่อน ถึงแม้จะห้ามไปชมไม่ได้แต่ก็สามารถที่จะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ดีมากกว่า ปล่อยให้ไปตีความหมายกันเอง
ส่วนผู้สร้างและกลุ่มธุรกิจภาพยนตร์ ก็ควรหันหน้าเข้าหากันได้แล้ว ไม่ใช่ผลิต นำเข้าและจำหน่ายแต่ภาพยนตร์ที่ถือเอาความ “สะใจ” เพื่อตามใจตลาดอย่างเดียว ควรกลั่นกรองภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายให้มากกว่าเดิม หากเป็นภาพยนตร์ไทยก็แทรกเรื่องสร้างสรรค์ลงไปให้มากกว่าเดิม ภาพยนตร์ยุคใหม่มักจะสร้างเน้นที่จะสร้างใช้ผู้ชม ”แสวงหา” มากกว่าจะเป็น “อาณานิคมทางความคิดของชาวตะวันตก”
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันครับ หากต่างฝ่ายยังมองเห็นแต่เรื่องผลประโยชน์อย่างนี้ ไม่แน่นะครับในอนาคต เราอาจไม่เหลือกำลังหลักสำคัญที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นคลื่นลูกต่อไปในการนำประเทศชาติเราต่อสู้ในเวทีโลกได้ สิ่งเหล่านี้บางท่านอาจคิดว่าไร้สาระและไกลตัวไม่เห็นต้องสนใจ เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่า ลองหันกลับมามองดูในบ้านท่านให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนสิครับ…....แล้วค่อยตอบคำถาม…....อย่าเลยนะครับอย่าให้ความบันเทิงมันกลับกลายมาเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวของท่านและครอบครัว……….
ไม่มีความเห็น