คำว่า “สิทธิ” หมายถึง ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่และบุคคลอื่นต้องเคารพ หรือได้รับการรับรองและคุ้มครองของกฎหมาย[1] เช่น ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์ใด ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ ผู้นั้นก็ย่อมสามารถครอบครอง ใช้สอย จำหน่าย จ่าย โอน หรือแม้แต่ทำลายทรัพย์สินนั้นได้ตามใจชอบ ในเมื่อการกระทำนั้นไม่ฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น
สิทธิตามกฎหมายอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. บุคคลสิทธิ (Jus in Personam) เป็นสิทธิเหนือบุคคล ได้แก่ สิทธิเรียกร้องให้คู่กรณีกระทำการ หรืองดเว้นกระทำการอันใดอันหนึ่งตามแต่คู่กรณีจะตกลงกัน เช่น สัญญาจะซื้อขาย สัญญากู้ยืม หากคู่กรณีฝ่ายใดไม่ปฏิบัติคู่กรณีอีกฝ่ายมีอำนาจให้สิทธิฟ้องร้องต่อศาลบังคับให้คู่กรณีปฏิบัติตามสิทธิที่ตนมีอยู่เหนือคู่กรณีนั้นได้
2. ทรัพยสิทธิ (Jus in rem) เป็นสิทธิเหนือทรัพย์สิน ซึ่งมีขอบเขตอำนาจมากกว่าบุคคลสิทธิ ทรัพยสิทธิมีอยู่สามารถใช้ยัน บุคคลได้ทั่วไปไม่แต่เฉพาะคู่กรณีเท่านั้น เช่น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกชนิด สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิจำนอง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สิทธิในเครื่องหมายการค้า เป็นต้น ทรัพยสิทธิมีอานุภาพมาก กฎหมายจึงกำหนดไว้ว่า ทรัพยสิทธิทั้งหลายจะก่อตั้งขึ้นได้แต่ด้วยอาศัยอำนาจในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นี้ หรือกฎหมายอื่นจะคิดขึ้นเองหรือตั้งขึ้นเองไม่ได้
[1] คำพิพากษาฎีกาที่ 124/2487
สวัสดีค่ะ ดร. เมธา สุพงษ์
จะคอยติดตามตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจค่ะ
เพชรเม็ดงามในวงการกฎหมายไทย ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับครูจิ๋ว
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ท่าน udomran
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ หากบทความเป็นประโยชน์ก็ยินดีครับ
วันนี้มาทวงสิทธิ์ ...เอ่อ..ไม่ใช่ค่ะ มาเรียนรู้สิทธิ..จะได้ไม่เสียสิทฺธิ และก็ใช้สิทธิอย่างเต็มภาคภูมิ.. เป็นกำลังใจซึ่งกันและกันค๊า..ท่านดร.เมธา
ขอบคุณครับป้าเหมียว