หลายวันก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับ นพ ประเสริฐ ขันเงิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธชินราช ผมรู้จักกับ “พี่เสริฐ” มาประมาณ สองปีในฐานะหนึ่งคือ ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา และในอีกฐานะหนึ่ง คือพี่ชายกับน้องชาย มีเวลาว่างเมื่อไรเราจะได้คุยแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆของการดำเนินชีวิตรวมถึงการบริหารงาน บริหารตนและบริหารคน เรื่องแห่งอำนาจ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราได้สนทนากัน พี่เสริฐเริ่มเรื่องก่อนว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ทุกคนอยู่ได้โดยมีความสัมพันธ์ ผูกพันและพึ่งพาอาศัย ลูกมนุษย์ต้องได้รับการดูแลจากแม่หรือคนอื่นๆในครอบครัวจึงจะดำรงชีวิตอยู่ได้ (ต้องเลี้ยงนานด้วยครับ บางคนต้องเลี้ยงจนแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้วพ่อแม่ก็ยังต้องเลี้ยงอยู่ก็มี) ต่างจากลูกสัตว์บางชนิดซึ่งเมื่อถือกำเนิดก็สามารถดำรงชีวิตด้วยตัวเองได้ หรือถ้าแม่จะต้องเลี้ยงก็เลี้ยงในระยะเวลาอันสั้น (ยกตัวอย่างเช่นลูกจระเข้ก็ได้นะครับ พอฟักออกจากไข่ก็เริ่มหากินได้ด้วยตัวเองทันที) และส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของมนุษย์ พี่เสริฐบอกว่า มันคือการเล่นเกมแห่งอำนาจ
วันนั้นเราคุยกันว่า อำนาจที่มนุษย์นำมาเล่นกันนั่นมันคืออะไรบ้าง อันดับแรก คงจะเป็นอำนาจตามสถานภาพ ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือหัวโขนที่ถูกใครต่อใครใส่ให้ หรือพยายามไขว่คว้าหามาให้ได้เพื่อหวังว่าจะได้ใส่สักครั้งหนึ่งในชีวิต อำนาจนี้อยู่ได้แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นนะครับ ถ้าใครคิดว่าอำนาจนี้จะอยู่กับเราชั่วกาลนานเห็นทีจะคิดผิด เราพบเห็นคนคิดผิดแบบนี้ได้บ่อยๆในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ฤดูแห่งการเกษียณอายุราชการ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนท่านเกษียณอายุ 2-3 ปี ท่านจะเริ่มหัดขับรถของตนเอง แรกๆก็ทำด้วยความยากลำบากแม้กระทั่งจะเข้าไปนั่งในรถ เดิมทีนั่งแต่รถตู้ขนาดใหญ่เป็นประจำเวลาเข้าไปในรถต้องก้มหัวเอาตัวเข้าไปก่อน แต่พอมานั่งรถเก๋งถ้าจะก้มหัวเอาตัวเข้าไปก่อนท่านว่าท่านเข้ารถตัวเองไม่ได้ ต้องมาหัดเอาขาแหย่เข้าไปแล้วตัวค่อยนั่งตาม จึงจะนั่งได้ กว่าจะหัดจนคุ้นก็ใช้เวลาไม่น้อยทีเดียว เดินทางโดยเครื่องบินก็เช่นเดียวกันต้องหัดไปเช็คอินเอง เพราะตอนใส่หัวโขนมีแต่คนจัดการให้ ท่านที่พยายามฝึกตัวเองเช่นนี้แสดงว่าท่านเข้าใจอย่างแท้จริงครับว่า อำนาจนี้มันไม่แน่นอนจริงๆ และท่านกำลังลดทอนมันด้วยตัวท่านเอง เพื่อชีวิตที่อยู่อย่างมีความสุขหลังจากถอดหัวโขนหัวนี้ออกจากตัว
อำนาจที่สองคืออำนาจแห่งความเป็นผู้เชี่ยวชาญ อำนาจนี้คนที่เป็นแพทย์จะเห็นได้ชัด เมื่อต้องดูแลรักษาคนเจ็บป่วย คุณหมอจะว่าอย่างไรโดยมากแล้ว ผู้ป่วยมักปฏิบัติตามหรือเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ถึงแม้ปัจจุบัน ประชาชนจะมีความรู้เรื่องการรักษาโรคต่างๆมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วอำนาจแห่งความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็ยังคงมีความหมายอยู่มากครับ อำนาจนี้อยู่กับมนุษย์นานพอสมควร คนวัยเกษียณก็อาจจะยังมีอำนาจนี้อยู่ ตราบใดที่คนผู้นั้นยังอยู่ในวงการวิชาชีพหรือความเชี่ยวชาญนั้นๆ แต่จะค่อยๆเลือนหายไปเมื่อต้องออกนอกวงการหรือไม่ก็เป็นเพราะล้าสมัยไม่สามารถติดตามความก้าวหน้าของวิทยาการได้ทันก็จะถูกลดทอนอำนาจนี้ไปอย่างอัตโนมัติ
อำนาจที่สามเป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดสำหรับเกมแห่งอำนาจ นั่นคืออำนาจแห่ง “บารมี” อำนาจนี้ไม่มีหัวโขนให้ใส่และไม่มีวันเกษียณอายุเหมือนอำนาจชนิดที่หนึ่ง ยิ่งสร้างยิ่งมากไม่ลดทอนไปตามกาลเวลาเหมือนกับอำนาจชนิดที่สอง หรืออาจจะเรียกได้ว่า อำนาจแห่งบารมีนี้คืออำนาจอันยืนยาวและยั่งยืนครับ ในวงสนทนาวันนั้นเกิดคำถามว่า อำนาจแห่งบารมีนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครคือผู้ที่ควรจะมีอำนาจนี้? จากหลากหลายความคิดเห็นในวันนั้น พอจะสรุปได้ว่า อำนาจแห่งบารมีนี้ ใครจะมีก็ได้ครับ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นผู้บริหารระดับสูง คนงานก่อสร้าง หรือ ชาวไร่ ชาวนา ขอเพียงแต่ท่านเหล่านั้นเข้าใจว่า จุดเริ่มต้นของบารมีคือ “การให้” ซึ่งเป็นการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งเคลือบแฝงภายในใจ ให้ด้วยใจปรารถนาดีเท่าที่หน้าที่และโอกาสจะอำนวยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แม้แต่คำขอบคุณ เมื่อท่านเหล่านั้นปฏิบัติเช่นนี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อำนาจแห่งบารมีก็จะเพิ่มพูนขึ้นวันแล้ววันเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่การให้นั้นทำให้คนรับเกิดความสุขหรือพ้นจากความทุกข์ได้แม้แต่เพียงเล็กน้อย “การให้” นั้นก็มีคุณค่าเพียงพอแล้วสำหรับสะสมเป็นอำนาจแห่งบารมี
"การให้" นำมาซึ่งบารมี บารมีเป็นอำนาจที่ไม่ร้อนรุ่มแต่ทรงพลังและยังสุขเย็นอย่างยิ่งครับ ยิ่งให้ก็ยิ่งเพิ่มพูน ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด เรามาเริ่มให้กันตั้งแต่เดี๋ยวนี้เผื่อแผ่ความรู้สึกดีๆไปให้ใครต่อใคร สร้างสมบารมีกันไปเรื่อยๆนะครับ ผมเชื่อว่าไม่เพียงเกิดอำนาจแห่งบารมีเท่านั้นแต่ใจของผู้ให้จะเป็นใจที่สุขอย่างยิ่งด้วยครับ