ใครเอาเนยแข็งของฉันไป


Who Moved My Cheese - วิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในการงานและชีวิต

 

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ อยู่สี่ชีวิต วิ่งซอกซอนในเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็งมาเลี้ยงชีวิตและให้ตนมีความสุข

สิ่งมีชีวิตทั้ง 4 ได้แก่หนู 2 ตัวชื่อ "สนิฟฟ์" และ สเคอร์รี่" ส่วนอีกสองนั้นเป็นมนุษย์ขนาดจิ๋วที่มีขนาดเล็กเท่าหนู แต่หน้าตาทุกอย่างเหมือนมนุษย์ในปัจจุบันชื่อ "เฮม" และ "ฮอว์"

เนื่องจากว่าทั้งสี่ตัวเล็กมากเราจึงไม่ค่อยเห็นว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้างแต่ถ้าคุณลองดูใกล้ๆแล้ว คุณจะพบกับเรื่องที่น่าทึ่ง

 

ทุกๆวันทั้งหนูและมนุษย์ตัวจิ๋วจะใช้เวลาอยู่ในเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็งพิเศษของตน

หนู สนิฟฟ์ กับ สเคอร์รี่ มีสมองธรรมดาเหมือนหนูทั่วไปแต่มีสัญชาตญาณที่ยอดเยี่ยม ทั้งสองจะคอยหาเนยแข็งเนื้อแน่นของโปรด อย่างที่พวกหนูชอบหากัน

ส่วนมนุษย์ตัวจิ๋วทั้งสองคน เฮมและ ฮอว์ จะใช้สมองที่มีความเชื่อและอารมณ์มากมายเพื่อเสาะหาเนยแข็งชนิดพิเศษที่ต่างออกไปซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะนำความสุขและความสำเร็จมาให้

แม้ว่าหนูและมนุษย์ตัวจิ๋วนั้นจะต่างกัน แต่บางอย่างที่พวกเขาทำเหมือนกันก็คือ ทุกๆเช้าจะสวมชุดกีฬาและรองเท้าจ๊อกกิ้งออกจากบ้านหลังน้อยแล้ววิ่งตรงไปยังเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็งชิ้นโปรด 
 

  

เขาวงกตที่ว่านี้ประกอบด้วยทางเดินแคบๆวกวน และมีห้องต่างๆมากมาย ซึ่งบางที่ก็มีเนยแข็งที่แสนอร่อย แต่บางที่ก็เป็นมุมมืดและเป็นซอยตัน เขาวงกตนี้เป็นสถานที่ที่หลงทางได้ง่าย

แต่สำหรับคนที่รู้ทางแล้ว เขาวงกตนี้กุมความลับที่พวกเขาจะทำให้สำราญกับชีวิตที่ดีขึ้นได้

สนิฟฟ์ กับ สเคอร์รี่ ใช้วิธีการง่ายๆด้วยการลองผิดลองถูกเพื่อหาเนยแข็ง ทั้งคู่จะวิ่งไปในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งดูก่อน ถ้าพวกเขาไม่เจอเนยแข็ง พวกเขาก็จะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น พวกเขาจำทางเก่าที่ไปแล้วไม่พบเนยแข็งได้ และจะรีบเข้าไปในบริเวณอื่นอย่างรวดเร็ว

สนิฟฟ์ใช้จมูกที่ไวคอยดมทางเพื่อหาว่าเนยแข็งน่าจะอยู่ทางไหน ส่วนสเคอร์รี่คอยวิ่งนำไป บางครั้งพากเขาก็ไปผิดทางบ้าง หรือไม่ก็ชนผนังบ้างแต่หลังจากนั้น ทั้งคู่จะหาทางเจอ

เฮมกับฮอว์ ก็เหมือนกับหนูคือรู้จักใช้ความคิดและเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาศัยสมองที่ซับซ้อนคิดวิธีที่เลิศเลอเพื่อหาเนยแข็ง

บางครั้ง ทั้งคู่ก็ทำได้ดีแต่บางครั้ง ความเชื่อและอารมณ์ของมนุษย์มักบดบังวิธีคิดและพิจารณาต่างๆทำให้ชีวิตในเขาวงกตซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น


ถึงกระนั้น สนิฟฟ์ สเคอร์รี่ เฮม และฮอว์ก็ได้พบสิ่งที่พวกเขาต้องการด้วยวิธีของตนเอง วันหนึ่ง ทั้งสี่พบเนยแข็งที่ตนเองต้องการ ณ ปลายทางเดินในสถานีเนยแข็ง น.

 

 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน เฮมและฮอว์เริ่มเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันใหม่

พวกเขาตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย แต่งตัวช้าลง และใช้วิธีเดินไปยังสถานีแทนการวิ่งเพราะพวกเขารู้ว่าเนยแข็งอยู่ที่ไหนและจะไปที่นั่นได้อย่างไร

พวกเขาไม่รู้ว่าเนยแข็งนั่นมาจากไหนหรือใครนำมันไปไว้ที่นั่น ทั้งคู่คิดเพียงว่า มันจะต้องอยู่ที่นั่น

ทุกๆเช้า ทันทีที่ทั้งคู่ไปถึงสถานีเนยแข็ง น. เฮมและฮอว์ จะพักและทำตัวตามสบาย เอาชุดกีฬาไปแขวน เอารองเท้าจ็อกกิ้งไปเก็บเข้าที่และใส่รองเท้าแตะแทน พวกเขาดูท่าทางสบายมากขึ้นตั้งแต่ได้พบเนยแข็ง

"ยอดไปเล้ย" เฮมพูดขึ้น "เรามีเนยแข็งพอกินไปชั่วชีวิตเลย" ทั้งคู่รู้สึกมีความสุขและประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าพวกเขาไม่อดตายแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานเฮมและฮอว์ก็เหมาเอาว่าเนยแข็งที่พวกเขาเจอที่สถานี น. เป็น เนยแข็งของพวกเขา เนยแข็งมีปริมาณมากจนทั้งคู่ตัดสินใจย้ายบ้านมาอยู่ใกล้กับสถานีเนยแข็ง น. และใช้ชีวิตอยู่บริเวณนั้น

เฮมและฮอว์อยากให้ตัวเองรู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนอยู่บ้านมากขึ้นจึงตกแต่งผนังเขาวงกตด้วยคติเตือนใจแถมยังเขียนรูปเนยแข็งไว้รอบข้อความด้วย ซึ่งดูแล้วทำให้พวกเขาอดยิ้มไม่ได้ ข้อความนั้นเขียนว่า

การมีเนยแข็งทำให้มีความสุข

 

 

 

นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆเช้า ทั้งหนูและมนุษย์ตัวจิ๋วก็จะสวมชุดวิ่งและรีบตรงไปยังสถานีเนยแข็ง น. ไม่นานทุกคนก็ทำเป็นกิจวัตร

สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ ตื่นแต่เช้าทุกวันและรีบวิ่งไปยังเขาวงกตโดยใช้เส้นทางเดิมเสมอ

เมื่อพวกเขาไปถึงสถานี ก็จะถอดรองเท้าวิ่งออก ใช้เชือกรองเท้าผูกรองเท้าเข้าด้วยกันแล้วนำมาห้อยคอ พวกเขามักทำเช่นนี้เพื่อที่จะใส่รองเท้าได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องใช้ จากนั้นพวกมันก็กินเนยแข็งอย่างมีความสุข

ในช่วงแรกๆทั้งเฮมและฮอว์จะรีบตรงไปยังสถานีทุกเช้า เพื่อไปกินเนยแข็งใหม่ที่แสนอร่อยซึ่งรอพวกเขาอยู่

   

 บางครั้งเฮมและฮอว์จะพาเพื่อนๆมาดูเนยแข็งอันมากมายก่ายกองของพวกเขาที่สถานีเนยแข็ง น. แล้วก็ชี้นิ้วไปที่กองเนยแข็งด้วยความภาคภูมิใจและพูดว่า "เนยแข็งนี่เยี่ยมมากเลยใช่ไหมเพื่อน" บางครั้งทั้งคู่ก็แบ่งเนยแข็งให้เพื่อน บางครั้งก็ไม่ให้

"เราสมควรแล้วที่ได้ครอบครองเนยแข็ง" เฮมพูดขึ้น "เราตรากตรำมานานกว่าจะเจอมัน" ว่าแล้วเฮมก็หยิบเนยแข็งสดใหม่น่ารับประทานชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน

จากนั้นเฮมก็ผลอยหลับไปตามเคย

ทุกคืนหลังจากกินเนยแข็งมาเต็มที่ ทั้งคู่จะเดินอุ้ยอ้ายกลับบ้านและทุกเช้าพวกเขาจะกลับไปหาเนยแข็งใหม่ด้วยความมั่นใจ

กิจวัตรประจำวันของทั้งคู่ดำเนินเช่นนี้ไปชั่วระยะหนึ่ง

ในไม่ช้า ความมั่นใจของเฮมและฮอว์ก็กลายเป็นความยโสในความสำเร็จ พวกเขาสบายจนไม่ได้สนใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น

เวลาผ่านไป สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม พวกมันมาถึงสถานีเนยแข็ง น. ตั้งแต่เช้า จากนั้นก็ดมๆคุ้ยเขี่ย และวิ่งซอกแซกรอบสถานีเพื่อตรวจสอบดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อวานบ้าง จากนั้นจึงค่อยนั่งลงแทะเนยแข็ง

  

 
เช้าวันหนึ่ง ทั้งสองมาถึงสถานีเนยแข็ง ทั้งสองพบว่าไม่มีเนยแข็งเหลืออีกแล้ว

พวกมันไม่ได้ตกใจ เพราะสนิฟฟ์และสเคอร์รี่สังเกตมาตลอดว่าปริมาณเนยแข็งลดลงทุกวัน ทั้งคู่เตรียมพร้อมอยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้เช่นนี้ขึ้น และก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าต้องทำอะไรต่อไป

ทั้งคู่มองหน้ากัน เอารองเท้าจ็อกกิ้งที่ห้อยคอลงมาสวมและผูกเชือกรองเท้า

หนูไม่ได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ จนเกินควร

สำหรับหนูแล้วทั้งปัญหาและคำตอบเป็นเรื่องง่ายๆสถานการณ์ที่สถานีเนยแข็ง น.เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นพวกมันจึงตัดสินใจปรับตัวตาม

พวกมันมองไปที่เขาวงกต แล้วสนิฟฟ์ย่นจมูกขึ้นดม ผงกหัวให้สเคอร์รี่วิ่งนำไปในเขาวงกต ส่วนสนิฟฟ์วิ่งตามไปสุดกำลัง

พวกมันรีบออกไปหาเนยแข็งชิ้นใหม่

ต่อมาในวันเดียวกัน เฮมและฮอว์มาถึงสถานีเนยแข็ง น. ทั้งคู่ไม่ได่สังเกตเลยว่ามีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเกิดขึ้นทุกวัน พวกเขาเชื่อว่ายังไงก็ต้องเจอเนยแข็ง

พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเผชิญในสิ่งที่พบ

"อะไรกันนี่ ไม่มีเนยแข็ง" เฮมร้องลั่น เขาแผดเสียงต่อ "ไม่มีเนยแข็งหรือ เป็นไปได้ยังไง" เสียงดังลั่นราวกับว่าถ้าเขาตะโกนเสียงดังมากแล้วจะมีคนเอาเนยแข็งมาคืน

"ใครเอาเนยแข็งของฉันไป" เฮมตะเบ็งเสียง

ในที่สุดเขาก็เอามือเท้าสะเอว หน้าแดงก่ำ และตะโกนสุดเสียงว่า "ไม่ยุติธรรมเลย"

 

ฮอว์สั่นหัวอย่างไม่เชื่อ เขาเองก็คาดหวังว่าจะเจอเนยแข็ง เขายืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน ฮอว์ไม่พร้อมที่จะเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

เฮมตะโกนอะไรบางอย่างออกมาแต่ฮอว์ไม่อยากได้ยิน เขาไม่อยากจัดการกับเรื่องเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ดังนั้น เขาจึงทำเป็นไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

พฤติกรรมของมนุษย์ตัวจิ๋วทั้งสองไม่น่าดูหรือไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไรเลย แต่ก็พอเข้าใจได้

การหาเนยแข็งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆและมันมีความหมายต่อมนุษย์ตัวจิ๋วมากกว่าการหากินไปวันๆ

การหาเนยแข็งเป็นวิธีการของมนุษย์ตัวจิ๋วที่จะแสวงหาสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถจะนำความสุขมาให้ได้ พวกเขามีความคิดว่าเนยแข็งมีความหมายอะไรต่อตน ซึ่งก็แตกต่างออกไปตามรสนิยมของแต่ละคน

สำหรับบางคนนั้น การเจอเนยแข็งนั้นเหมือนกับได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ แต่บางคนก็เหมือนกับได้ครอบครองในสิ่งที่ตนเองต้องการแต่บางคนก็เหมือนกับการมีสุขภาพแข็งแรงหรือความสุขในชีวิต

สำหรับฮอว์แล้ว เนยแข็งหมายถึงความรู้สึกปลอดภัย

ส่วนเฮมนั้น หมายถึงการได้เป็นคนใหญ่คนโตสั่งคนอื่นได้ 

 
เพราะว่าเนยแข็งมีความสำคัญต่อพวกเขา ทั้งสองจึงใช้เวลาใคร่คราญอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อไป สิ่งที่พวกเขาคิดออกกลับเป็นการวนเวียนอยู่ในสถานี น. ที่ไร้เนยแข็ง เพื่อดูว่าเนยแข็งเหล่านั้นหายไปจริงๆหรือเปล่า

ขณะที่สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ดำเนินชีวิตไปได้โดยรวดเร็ว เฮมกับฮอว์กลับมัวแต่จดๆจ้องๆ ละล้าละลัง

ทั้งสองพากันโวยวายว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเลย ฮอว์เริ่มรู้สึกหดหู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพรุ่งนี้ยังไม่มีเนยแข็งอีก เขาฝากอนาคตไว้กับเนยแข็งนี้ไปเสียแล้ว

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรนี่ ไม่มีใครเตือนพวกเขาเลย มันไม่ถูกต้อง เรื่องอย่างนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย

คืนนั้นเฮมและฮอว์กลับบ้าน ทั้งหิวทั้งท้อแท้ แต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับ ฮอว์เขียนข้อความไว้บนผนังว่า

ยิ่งเห็นเนยแข็งสำคัญเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดติดเท่านั้น

 

 ในวันรุ่งขึ้น เฮมและฮอว์ออกจากบ้านตรงไปที่สถานีเนยแข็ง น.อีก ทั้งคู่ยังมีความหวังว่าจะเจอเนยแข็งของพวกเขา

เหตุการณ์ยังเหมือนเดิม ไม่มีเนยแข็งอีกแล้ว เขาไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เฮมและฮอว์ได้แต่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ที่นั่น

ฮอว์หลับตาปี๋แล้วเอามืออุดหูไว้ เขาไม่ต้องการรับรู้เรื่องอื่นใด เขาไม่อยากรับรู้ว่าปริมาณเนยแข็งนั้นค่อยๆลดลง ฮอว์เชื่อว่าจู่ๆก็หายไป

เฮมใคร่ครวญเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก และในที่สุด ด้วยสมองอันซับซ้อนประกอบกับความเชื่อมากมายก็เริ่มครอบงำ "ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้" เขาร้องถาม "มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

ในที่สุดฮอว์ก็ลืมตาขึ้น มองไปรอบๆและพูดว่า "เอ้อ แล้วสนิฟฟ์กับสเคอร์รี่อยู่ที่ไหนกันล่ะ นายว่ามันรู้อะไรที่เราไม่รู้บ้างไหม"

เฮมเยอะเย้ยว่า "พวกมันจะรู้อะไรเล่า"

เฮมพูดต่อว่า "พวกมันเป็นแค่หนูธรรมดาเท่านั้น ได้แต่ตอบสนองสิ่งที่เกิดขึ้น เราเป็นมนุษย์ตัวจิ๋วนะ เราฉลาดกว่าหนู เราน่าจะหาทางแก้ปัญหานี้ได้

"ฉันรู้ว่าเราฉลาดกว่า แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เราดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรที่ดูฉลาดกว่าเลย ที่นี่มันเปลี่ยนไปแล้ว เฮม บางทีเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม"

"ทำไมพวกเราต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยล่ะ" เฮมถาม "เราเป็นมนุษย์ตัวจิ๋ว เราพิเศษกว่าเรื่องอย่างนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับพวกเรา หรือถ้ามันเกิด เราก็ควรได้รับอะไรชดเชยบ้าง

"ทำไมเราต้องได้รับอะไรชดเชยล่ะ" ฮอว์ถาม

"ก็เพราะเรามีสิทธิ์น่ะสิ" เฮมอ้าง

"สิทธิ์อะไร" ฮอว์ถามด้วยความสงสัย

"เรามีสิทธิที่จะได้เนยแข็งของพวกเรา"

"ทำไม" ฮอว์ถาม

"เพราะเราไม่ได้ก่อปัญหานี้ขึ้น" เฮมพูด " คนอื่นสร้างปัญหาไว้ เราควรได้รับสิ่งชดเชย"

ฮอว์เสนอว่า "บางทีเราหยุดคิดมากกับเรื่องนี้ แล้วเริ่มหาเนยแข็งกันใหม่เถอะ"

"โอ้ยไม่นะ" เฮมค้าน " ฉันจะต้องค้นหาความจริงให้ได้"

ขณะที่เฮมและฮอว์ตัดสินใจว่าจะทำอะไรอยู่นั้น สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ก็ไปไกลแล้ว พวกมันเข้าไปในเขาวงกต เดินขึ้นลงตามทางเดินต่างๆ คอยมองหาเนยแข็งทุกสถานีที่พบ

พวกหนูไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากหาเนยแข็งใหม่

 พวกมันหาเนยแข็งไม่เจออยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งเข้าไปในบริเวณหนึ่งของเขาวงกตที่ไม่เคยเข้าไปก่อน นั่นก็คือสถานนีเนยแข็ง ม.

สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ ร้องด้วยความดีใจ ทั้งคู่เจอสิ่งที่หามาตั้งนานแล้ว มีเนยแข็งมากมายอยู่ที่นี่

พวกมันแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง มันเป็นกองเนยแข็งมหึมาที่สุดเท่าที่ทั้งคู่เคยเห็นมา

ระหว่างนั้น เฮมและฮอว์ยังอยู่ที่สถานีเนยแข็ง น. ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาเป็นทุกข์เพราะไม่มีเนยแข็ง ทั้งคู่เริ่มหงุดหงิด โมโห และโทษกันเอง ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

บางครั้ง ฮอว์คิดถึงสนิฟฟ์กับสเคอร์รี่ ว่าพวกเขาจะเจอเนยแข็งรึยัง ฮอว์รู้ว่าพวกนั้นคงผจญอยู่กับความยากลำบากในวงกตอยู่แน่นอน แต่เขาเชื่อว่าความลำบากจะมีอยู่เพียงพักหนึ่งเท่านั้น

บางครั้ง ฮอว์ก็นึกภาพพวกหนูทั้งสองพบเนยแข็งใหม่และกำลังมีความสุข มันคงจะดีไม่น้อย ถ้าเขาได้ออกไปผจญในเขาวงกตเพื่อหาเนยแข็งใหม่

ฮอว์นึกถึงภาพที่เขาหาเนยแข็งเจอและกำลังมีความสุขอยู่กับมัน เขายิ่งรู่สึกอยากออกจากสถานี น.

"ไปกันเถอะ" จู่ๆฮอว์ก็โพล่งขึ้น

"ไม่" เฮมแย้งทันที "ฉันชอบที่นี่ สะดวกสะบาบ มันเป็นที่ๆฉันรู้จัก อีกอย่าง ข้างนอกอันตราย"

"ไม่จริงหรอก" ฮอว์ชี้แจง "เราเคยวิ่งไปตั้งหลายที่แล้วในเขาวงกต เราจะต้องทำได้อีก"

"ฉันแก่เกินไปแล้วที่จะทำอย่างนั้น" เฮมพูด "และฉันก็กลัวว่าจะหลงทางและทำอะไรโง่ๆอีก นายอยากเป็นอย่างนั้นเหรอ"

เมื่อฟังเหตุผลของเฮมและฮอว์ ความกลัวว่าจะล้มเหลวก็ผุดขึ้นมาในใจของฮอว์อีกครั้ง ความหวังที่ไปหาเนยแข็งใหม่ก็เริ่มริบหรี่

ดังนั้นแต่ละวันที่ผ่านไป ทั้งคู่ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมคือไปที่สถานี น. และกลับมาบ้านพร้อมกับความขุ่นเคืองใจ

พวกเขาพยายามปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นั่นทำให้รู้สึกว่าหลับยากขึ้นพอรุ่งขึ้นก็อ่อนเพลียและหงุดหงิดง่าย

บ้านของพวกเขาไม่ได้อบอุ่นอย่างที่เคยพวกเขามีปัญหานอนไม่หลับและฝันร้ายว่าไม่พบเนยแข็ง

แต่เฮมและฮอว์ก็ไปรอคอยอยู่ที่นั่นทุกวัน

เฮมพูดว่า "นายรู้ไหม เนยแข็งอาจจะอยู่แถวๆนี้ก็ได้ มันอาจจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป บางทีอาจจะมีใครเอาไปซ่อนไว้หลังผนังก็ได้"

วันรุ่งขึ้นเฮมกับฮอว์ก็กลับมาพร้อมกับเครื่องมือเขาทำงานอย่างหนัก แต่ที่เขาได้ก็คือรูตามฝาผนังของสถานีที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ฮอว์เริ่มตระหนักดีถึงวานและผลของมัน

"บางที ไม่ช้าหรือเร็วอาจจะมีคนเอาเนยแข็งมาคืน" เฮมพูด

ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอเพราะความหิวและเครียด ฮอว์เรื่อมเบื่อหน่ายกับการรอคอย เขารู้แล้วว่ายิ่งรอนานเท่าใดยิ่งแย่เท่านั้น

ฮอว์รู้ว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว

วันหนึ่ง ฮอว์ก็เรื่มหังเราะเยาะตนเองและคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นมันโง่ที่สุด

ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะเข้าไปในทางวงกตอีกครั้ง

เขาถามเฮมว่ารองเท้าจ็อกกิ้งเขาอยู่ไหน กว่าเขาจะหาเจอก็กินเวลานาน

ขณะที่เฮมมองดูเพื่อนสวมชุดวิ่งนั้นเขาพูดขึ้นว่า"ทำไมนายไม่รออยู่กับฉัน จนกว่าจะมีคนเอาเนยแข็งมาคืนล่ะ"

"เพราะนายไม่มีทางได้คืนน่ะสิ ถึงเวลาหาเนยแข็งใหม่แล้ว"

เฮมแย้งว่า"แล้วถ้าไม่มีเนยแข็งในวงกตล่ะ"

เฮมตอบว่า " ไม่รู้สิ จะมีโอกาสเจอเนยแข็งที่ไหนมากกว่ากันระหว่างที่นี่กับในวงกต"

เขานึกภาพขึ้นในใจ เห็นตัวเองไปผจญภัยในวงกตพร้องกับรอยยิ้ม

ภาพความคิดนี้ทำให้เขารู่สึกแปลกใจแต่ก็ทำให้รู้สึกดี

ฮอว์พูด "บางครั้งนะเฮมสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปและไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ชีวิตก็ยั่งงี้แหละ ต้องก้าวต่อไป พวกเราก็เหมือนกัน"

แต่ความกลัวของเฮมทำให้เป็นความโกรธขึ้งและไม่ฟังอะไรทั้งนั้น

เฮมไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายกับเพื่อน แต่เขาก็อดหัวเรอะในความเบาปัญญาของเพื่อนไม่ได้

ขณะเฮมออกเดินมางเขารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น เขารู้สึกว่าสามารถหัวเราะตนเองได้ ปล่อยวาง และเดินหน้าต่อได้แล้ว

ฮอว์เขียนคติเตือนใจลงบนก้อนหินเพื่อให้เฮมได้เห็นแต่เฮมกลับไม่อยากมองมันเลย

ข้อความนั้นเขียนว่า

ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงก็อยู่ไม่รอด

ฮอว์ยิ้ม รู้ว่าเฮมสงสัยว่า"ใครเอาเนยแข็งของฉันไป"แต่ฮอว์ก็แปลกใจว่า"ทำไมฉันไม่ลุกขึ้นตามหาเนยแข็งให้เร็วกว่านี้

ฮอว์สงสัยอยู่นานว่าเขาอยากกลับเข้าไปในทางวงกตจริงหรือไม่ เขาเขียนข้อความไว้ที่ผนังและจ้องมองอยู่นาน


จะทำอะไรถ้าไม่กลัว

ขณะที่ฮอว์กำลังเดินเข้าไปนั้นเขากังวลว่าตอนนี้เขาร่างกายอ่อนแอเกินไป

แล้วฮอว์ก็ยิ้มเจื๋อนๆ ขณะที่คิดว่า เริ่มช้ายังดีกว่าไม่เริ่มเลย"

ในช่วงเวลาต่อมาฮอว์เริ่มพบเนยแข็งชิ้นเล็กๆ

เขายอมรับว่าการเข้ามาในวงกตไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิด

ทุกครั้งที่เขาเริ่มท้อแท้เขาจะเตือนตัวเองว่าสนิฟฟ์กับสเคอร์รี่ยังไปได้ เขาก็ต้องไปได้

ฮอว์มาทบทวนเหตุการณดูเขาพบว่าเนยแข็งที่หายไปนั้นที่จริงมันค่อยๆลดลงต่างหากบางส่วนที่เหลืออยู่ก็ขึ้นรา

ฮอว์ยอมรับว่าถ้าเขาสังเกตก็จะเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นแต่เขาไม่ทำ

และเขาก็คิดได้ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่สนิฟฟ์กับยเคอร์รี่สังเกตมาตลอดก็ได้

เขาตั้งใจว่าต่อไปนี้เขาจะตื่นตัวมากขึ้น

เขาหยุดเขียนบนผนังว่า

จงดมเนยแข็งอยู่เสมอเพื่อที่จะรู้ว่ามันเรื่มเก่า

ในที่สุดฮอว์ก็พบกับสถานนีมหึมาแต่ข้างในก็มีเพียวความว่างเปล่า

ฮอว์รู้สึกหมดแรง ท้อใจ แต่แล้วเขาก็ถามตัวเองด้วยคำถามเดิมว่า "ฉันจะทำอะไรถ้าไม่กลัว"

ฮอว์คิดว่าเขาเอาชนะความกลัวได้แล้วแต่กลายเป็นว่าเขารู้สึกกลัวบ่อยขึ้นเกินกว่าที่เขาจะยอมรับ เขาเข้าใจดีแล้วว่าเขากลัวที่จะต้องเดินไปตามลำพัง ก่อนนี้เขาไม่รู้ว่ากลังอะไร แต่ตอนนี้เขาล้าหลังเพราะความกลัวคอยถ่วงไว้

เขาเขียนข้อความไว้บนฝาผนังเพื่อเป็นคติเตือนใจและเป็นเครื่องหมายให้เฮมตามมา

มุ่งไปในทิศทางใหม่จะทำให้เจอเนยแข็งได้

เขาหัวเราะเยาะตนเอง เขารู้แล้วว่าความกลัวทำให้สิ่งต่างๆแย่ลงมาก เขาจึงคิดจะไม่กลัว เขาเริ่มวิ่งไปตามทางมืดๆ ฮอว์ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขากำลังค้นพบสิ่งที่หล่อเลีย้งจิตใจ เขาปล่อยวางและมั่นใจต่อสิ่งที่อยู่ล่วงหน่าแม้ว่าจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เบื้องหน้าก็ตาม

ไม่นานนักเขาก็รู้ว่าทำไมถึงสบายใจ

เขาเขียนข้อความบนฝาผนังว่าสลัดความกลัวออกไปได้ก็จะเป็นอิสระ

ตอนนี้เขาสัมผัสถึงลมเย็นที่พัดเข้ามา เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อเอาชนะความกลัวได้

เขารู้สึกว่าตนเองต้องหาเนยแข็งพบแน่ๆ

เขาหยุดและเขียนที่ผนังว่า
จินตนาการว่ามีความสุขกับเนยแข็งใหม่ แม้ยังไม่พบก็จะช่วยนำทางได้

ฮอว์สงสัยว่าทำไมเขาเคยคิดว่าการสูญเสียจะทำให้แย่ลง แต่เดี๋ยวนี้เขารู้แล้วว่าการสูญเสียอาจจะทำให้ดีขึ้นก็ได้

เขาพบสถานนีเนยแข็งและพบเนยแข็งแปลกๆวางอยู่ที่ทางเข้า เขาไม่รู้จักมัน มันดูน่ากิน เมื่อเขาลองกินแล้วพบว่าอร่อยมาก เขาเก็บเอาไว้ เมื่อเข้าไปดูพบว่าสถานนีนั้นเหลือแต่เศษของเนยแข็ง คงมีใครมาก่อนหน้านี้
เขาตัดสินใจกลับเพื่อเอาเนยแข็งไปฝากเพื่อน

เขาเขียนบนผนังว่า

 

 

 

ละทิ้งเนยแข็งเก่าเท่าไหร่ยิ่งพบเนยแข็งใหม่เร็วเท่านั้น

เฮมขอบใจฮอว์แต่เขาไม่รับ เขาต้องการเนยแข็ง ข อ ง เ ข า กลับมา

ฮอว์ส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วกลับออกไปตามลำพัง

ฮอว์ยิ้มเพราะตระหนักดีว่า  เที่ยวเสาะหาในวงกตดีกว่าทนรออย่างไร้เนยแข็ง

เขารู้ว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงความคิดของตนเองแล้วตั้วแต่เริ่มออกจากสถานนี น. เขาเขียนบนกำแพงว่า

ความเชื่อเดิมๆไม่ทำให้พบเนยแข็ง

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกจะเชื่อ

ฮอว์เขียนบนผนังว่า

เปลี่ยนวิถีชีวิตเมื่อเห็นว่ามีความสุขกับเนยแข็งใหม่ได้

  

 

 

  

 

ฮอว์หวังว่าตนเองกำลังมาถูกทางและเฮมจะอ่านคติเตือนใจบนผนังและหาทางตามมาจนได้

เขาเขียนสิ่งที่เขาครุ่นคิดบนผนังต่อว่า

สังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเสียแต่เนิ่นๆ จะทำให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้

เมื่อเขาเลี้ยวที่หัวมุม ในที่สุดเขาก็พบสิ่งที่เขาตามหามาเป็นเวลานาน

สถานีเนยแข็ง ม.

 

สนิฟฟ์และสเคอร์รี่โบกมือต้อนรับเขา พุงป่องน้อยๆของทั้งคู่แสดงให้เห็นว่ามันอยู่ที่นั่นมานานแล้ว

ฮอว์รีบทักทายตอบ ถอดรองเท้าแล้วคล้องคอไว้

สนิฟฟ์และสเคอร์รี่ ต่างหัวเราะและผงกหัวให้อย่างชื่นชม

แล้วฮอว์ก็หัวเราะ เขาเข้าใจแล้วว่าตัวเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่หัวเราะเยาะตนเองและสิ่งที่ทำผิดพลาด เขารู้แล้วว่าสิ่งที่จะทำให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงได้เร็วที่สุดคือรู้จักหัวเราะเยาะเย้ยความขลาดเขลาของตนเองเพื่อที่จะได้รู้จักปล่อยวางและเร่งก้าวต่อไปข้างหน้า

เขาระลึกถึงความผิดพลาดในอดีตซึ่งสามารถที่จะใช้มันเป็นบทเรียนใหอนาคตเพื่อที่จะได้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงเช่นว่า

ควรเล็งเห็นความจำเป็นในการทำเรื่องอื่นให้ง่าย รู้จักยืดหยุ่นและก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว

ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้ซับซ้อนมากเกินไปหรือปล่อยให้ความเชื่อทำให้สับสน

รู้จักสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเสียแต่เนิ่นๆ จะทำให้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่จะตามมา

ต้องปรับตัวให้เร็วก่อนที่จะไม่ได้ปรับตัว

ฮอว์นึกถึงบทเรียนที่ได้รับ และก็นึกถึงเฮมด้วย 


ฮอว์รู้ว่าเขาทิ้งลู่ทางไว้แล้ว เฮมคงจะหาเจอ

แม้ว่าฮอว์ยังมีเนยแข็งอยู่มากแต่เขาก็สำรวจทางวงกตอยู่เสมอๆว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

แล้วฮอว์ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในวงกต เมื่อเสียงดังขึ้นเรื่อยๆเขารู้ว่ามีคนกำลังมา

นั่นใช่เฮมหรือเปล่านะ เขาเลี้ยวมาตรงหัวมุมใช่ไหม

ฮอว์ภาวนาและหวังอย่างที่เขาคิดมาหลายครั้งว่าในที่สุดบางที...
เพื่อนของเขาจะสามารถ...

อ่านเสร็จแล้ว ดูซิ พวกนายเป็นตัวละครไหนบ้าง ???



ที่มา http://board.dserver.org/m/mor2room15/00000399.html

 

ซื้ออ่านฉบับเต็มได้ตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ

หมายเลขบันทึก: 303253เขียนเมื่อ 4 ตุลาคม 2009 18:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 22:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

4 ชีวิต

เป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณและความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

 สนิฟฟ์ เป็นผู้ดมกลิ่นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใคร จึงนำออกไปก่อน

สเคอร์รี่ ไม่คิดอะไรเลย วิ่งตามกระแสอย่างเดียว

เฮ็ม เป็นผู้ปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลวร้ายก ว่าเดิม

ส่วน ฮอว์ เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

ในโลกแห่งธุรกิจ และโลกแห่งการทำงาน มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย

นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็นการเปลี่ยนแปลง และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด

http://www.wuttanan.com/few/?p=48

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอน

ตอนแรก ชื่อ "สังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่น" ซึ่งเป็นการ พูดคุยกันระหว่างเพื่อนที่มาร่วมงานชุมนุมศิษย์เก่าถึงความพยายามที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต โดยได้ข้อสรุปตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนและเรามักต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพราะกลัวที่จะต้องเปลี่ยนจากสิ่งที่คุ้นเคยเดิมๆ

ตอนที่สอง เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ชื่อ "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป"

ตอนที่สาม เป็นการแสดงข้อคิดที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ว่ามีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิตได้อย่างไร

ดังนั้นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำ คือ

  • วิเคราะห์ความผิดพลาดในอดีต
  • วางแผนอนาคต
  • เรียนรู้วิธีจัดการกับความเปลี่ยนแปลง
  • ทำสิ่งต่างๆให้เรียบง่ายและยืดหยุ่นพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่เริ่มขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
  • อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ตัวเอง จะไม่มีอะไรดีขึ้นจนกระทั่งตัวเองได้เปลี่ยนแปลงแล้ว

ข้อพึงระลึก

  • การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นเสมอ
  • คาดคะเนการเปลี่ยนแปลงไว้ล่วงหน้า
  • หมั่นตรวจตราการเปลี่ยนแปลง
  • ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • สนุกกับการเปลี่ยนแปลง
  • เตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสนุกกับการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปเรื่อยๆ

http://forward-mail.exteen.com/20081213/entry-3

จากเรื่องดังกล่าวนี้ เราจะสามารถวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ตัวละครต่างๆ ได้แสดงให้เห็น พร้อมทั้งแง่คิดต่างๆ ที่แฝงไว้ โดยใช้หลักการบริหารจัดการของการบริหารการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ค่ะ

เมื่อพวกหนูสนิฟฟ์และสเคอร์รี่ ที่มีสมองธรรมดาเหมือนหนูทั่วไปและไม่ได้เก่งเท่ากับพวกมนุษย์จิ๋ว แต่ก็มีสัญชาตญาน ที่ยอดเยี่ยมนั้นได้รับรู้ว่าเนยแข็งในสถานี น.นั้นเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ก็ทำใจได้ว่าสักวันเนยแข็งก็จะต้องหมดลงไป พวกมันจึงมี ความเตรียมพร้อมอยู่เสมอโดยเอารองเท้าจ๊อกกิ้งแขวนไว้ที่คอ เพราะเมื่อถึงวันที่เนยแข็งหมดไปจริงๆ พวกมันก็จะเริ่มต้นออกวิ่ง เพื่อหาเนยแข็งชิ้นใหม่ต่อไปได้โดยเร็ว เปรียบเหมือนกับ การจัดการการเปลี่ยนแปลงในองค์กร (Organizational Change Management)

ซึ่งการจัดการธุรกิจในสภาพปัจจุบันต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ซึ่งการจัดการการเปลี่ยนแปลงองค์การ หากสามารถมีการวางแผนล่วงหน้าจะทำให้ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง

อย่างเช่นในกรณีของโรงงานไทยสินฯ ที่รับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้กับแบรนด์ต่างๆ ของต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยเตรียม ความพร้อมสำหรับวันหนึ่งหากสินค้าที่ผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่าประเทศอื่น ก็จะไม่มี order จากต่างประเทศก็จะทำให้โรงงานต้อง ปิดตัวลง ดังนั้นหากโรงงานได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้ ก็อาจจะผลิตสินค้าที่เป็นแบรนของตัวเองและ ออกขายเพื่อทำตลาด แทนที่จะผลิตตาม order จากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ก็จะสามารถฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปได้

ในส่วนของมนุษย์จิ๋วสองคน คือ เฮมและฮอว์ ซึ่งมีสมองที่ชาญฉลาดกว่าพวกหนู แต่มักใช้ความเชื่อและอารมณ์ของตนมาบดบังความจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยรับรู้มาก่อนแม้แต่น้อยว่าเนยแข็งในสถานนี น.นั้นเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนหมด กลับคิดว่ามีคนมาขโมยเนยแข็งของพวกเขาไป และไม่ยอมที่จะเริ่มต้นออกเดินทางเพื่อหาเนยแข็งชิ้นใหม่จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องพบกับความหิวโหย

แต่ฮอว์ก็เริ่มตระหนักได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการที่เนยแข็งหายไปก็คือ พวกเขาพยายามสร้างภาพเพื่อหลอกตัวเองอยู่เสมอ ว่าเนยแข็งนั้นไม่มีวันหมดไปอย่างแน่นอน จึงไม่คิดเตรียมตัวพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ฮอว์ได้ปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาและปรับตัว คือ

การนำหลักของกระบวนการเปลี่ยนแปลง 7 ขั้น มาประยุกต์ใช้ ดังนี้

1. เข้าใจถึงสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ ต้องหาคำตอบให้ได้ว่า “ทำไมเราถึงต้องเปลี่ยนแปลง?” ฮอว์ได้ตระหนัก และเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ สามารถเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าฮอว์ไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง ฮอว์ก็จะอดตายได้ในที่สุด

2. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ว่า “จะทำการเปลี่ยนแปลงเพื่ออะไร?” ฮอว์ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของการ ออกเดินทาง คือ เป้าหมายในการพบเนยแข็งชิ้นใหม่และเอาชนะความกลัวที่มีอยู่ในใจของตน จากคำสบประมาทของเฮมที่ว่า คงหาเนยแข็งที่ดีกว่าเก่าไม่ได้อย่างแน่นอน

3. สร้างและกำหนดทางเลือก คือ “การคิดหาวิธีหรือหนทางไปสู่เป้าหมาย” ฮอว์เลือกที่จะเชื่อและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมในการออกตามหาเนยแข็งชิ้นใหม่ในเขาวงกต ดีกว่าทนรอเนยแข็งชิ้นเดิมที่ไม่มีวันหวนกลับมา

4. วางแผน ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ต้องมีการวางแผนโดยวิเคราะห์ผลดี ผลเสีย และผลกระทบอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ฮอว์ได้วิเคราะห์ถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นในการออกตามหาเนยแข็งชิ้นใหม่ ซึ่งแม้จะ ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการออกตามหาจะเป็นเช่นไร อาจจะต้องเหนื่อย และพบอุปสรรคมากมาย แต่ก็ยังดีกว่านั่งรออยู่เฉยๆ โดยที่ ไม่ทำอะไรเลย เหมือนเช่น เฮม

5. ปฏิบัติการตามแผน เพื่อไม่ให้เป้าหมายเบี่ยงเบน โดยติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ สื่อสารความคืบหน้า และปรับเปลี่ยนเป้าหมายและแผนตามสภาพความเป็นจริง เมื่อฮอว์ได้กลับไปค้นหาเนยแข็งใหม่ในเขาวงกต ซึ่งมีความ วกวนและซับซ้อนก็พยายามจดจำทางที่เคยไปแล้วไม่พบเนยแข็ง และไม่กลับไปยังทางเดิมเหล่านั้น เพื่อให้เจอกับเนยแข็ง ชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว

6. เสริมแรงให้กับความเปลี่ยนแปลง แม้การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะประสบ ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง จึงต้องเสริมแรงให้กับสิ่งใหม่ๆ เพื่อความคุ้นเคยและเคยชิน ในระหว่างที่ฮอว์กำลังหาเนยแข็ง ชิ้นใหม่ ก็เกิดความท้อแท้ขึ้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายฮอว์ก็เปลี่ยนความท้อแท้นั้น เป็นความสนุกที่จะได้พบเนยแข็งชิ้นใหม่ที่ ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างให้เกิดความสำเร็จในความเปลี่ยนแปลงนั้น

7. ประเมินผล คือการนำสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาเปรียบเทียบกับแผนปฏิบัติการ และนำไปปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลง

เมื่อฮอว์ได้เจอเนยแข็งในสถานี ม.แล้ว ได้เจอกับหนูทั้งสองตัวที่มาถึงก่อนหน้านั้นแล้ว จึงคิดได้ว่า หากตนออกเดินทางมาก่อนก็จะได้เจอเนยแข็งชิ้นใหม่อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฮอว์จึงตรวจจำนวนเนยแข็ง และออกหาเนยแข็งในสถานีอื่น ๆ อยู่เสมอเพื่อความไม่ประมาทอีกต่อไป

สิ่งที่ฮอว์ได้ทำตอนหลังแม้จะช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยเหมือนเช่น เฮม ที่ไม่ยอมรับ และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังสุภาษิตที่ว่า “ตั้งต้นสายดีกว่าไม่ตั้งต้นเลย”

แต่จะว่าไปสิ่งที่ฮอว์ได้นำมาใช้แก้ปัญหานั้น ก็ได้นำหลักธรรมทางพุทธศาสนาของเราเข้ามาใช้ ในเรื่องของการพยายามหาสาเหตุของปัญหา และแก้ปัญหานั้นให้หมดไป เหมือนเช่นการดับทุกข์

ก็อยากให้เพื่อนๆ และท่านผู้อ่านลองใช้วิธีเหล่านี้ดู อาจทำให้ปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่หมดไปก็เป็นได้ค่ะ และจำไว้ว่า อย่ากลัวกับการเปลี่ยนแปลงเพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเสมอค่ะ

http://www.pasuonline.net/webboard/index.php?showtopic=990

เรื่องนี้อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อครับ ให้ข้อคิดดีมากๆ ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณ คุณบวร ที่เข้ามาอ่าน และแสดงความคิดเห็นค่ะ

เรื่องนี้อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่เอามาให้อ่านอีกครั้ง

ดีจัง อาจารย์แอมมี่ อ่านแล้วสนุก ได้สาระ ดังนั้นจะทำให้เรา มีกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เล็กลงกว่าเก่านะ อิอิ แล้วจะแวะมาดูใหม่นะ

ได้ทบทวนความรู้ที่ดีครับ

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมกันค่ะ

  • คุณ kate
  • คุณแมวหง่าว (ยังมีเวลาเหลือนะคะนี่ ^^)
  • คุณ ChatChy ท่านประธาน

อ่านแล้วมีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง เอาออกมาแชร์กันได้เลยนะคะ

ยอดเยี่ยมที่สุดค่ะ

ขอบคุณมากครับ ได้เห็นได้คิดไตร่ตรองอะไรเยอะแยะเลยครับ

ผ่านมาหลายปี ก็ยึงน่าอ่านอยู่ครับ

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท