เมื่อวันหยุดติดต่อกันหลายวันที่ผ่านมา (วันพืชมงคล วันวิสาขบูชา
และวันเสาร์ อาทิตย์) คณะของเราชมรมคนอยากเที่ยว ได้รวมตัวกันได้ ๑๙
คน เก็บเงินกันคนละ ๒,๐๐๐ บาท พร้อมพาหนะรถตู้ ๑ คัน รถปิคอัพ ๒
คัน เดินทางมุ่งหน้าสู่กิ่งอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช
เพื่อเริ่มต้นการท่องเที่ยวป่าเขาลำเนาธาร ตามความตั้งใจของพวกเรา
โดยจุดหมายปลายทางแรกของเราอยู่ที่ที่พัก หนำไพวัลย์ ซึ่งจองบ้านไว้ ๑
หลัง พักได้ประมาณ ๒๐ คน โดยกะ
เวลาให้เดินทางไปถึงประมาณไม่เกินบ่ายโมงตรง
เพื่อจะได้รับประทานอาหารกลางวันที่ที่พัก ซึ่งทาง
หนำไพรวัลย์จะจัดเลี้ยงเป็นมื้อแรก
คณะของเราทำเวลาได้ดีพอสมควรสามารถเข้าถึงที่พักได้ประมาณเที่ยงตรง
เมื่อเก็บสมบัติเข้าบ้านพักเรียบร้อยแล้ว
ก็ออกมารับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทางหนำไพรวัลย์ก็จัดอย่างง่ายๆ
มีข้างกับขนมจีน มีแกงเขียวหวาน แกงไตปลา และอีกหลายอย่าง
ซึ่งเมื่อรับประทานอาหารกลางวันกันเป็นที่อิ่มหนำสำราญกันแล้ว
(ซึ่งทางเจ้าของหนำไพรวัลย์พยายามเน้นย้ำตลอดเวลาให้เรากินกันเยอะๆ
เพราะตอนบ่ายเป็นกิจกรรมที่ตองใช้แรงมากๆ
เราก็พยายามกินกันอยางเต็มที่
หลังจากนั้นก็กลับไปเปลี่ยนชุดตามคำแนะนำของหัวหน้าทัวร์
คือให้ใส่ชุดที่พร้อมจะเปียกน้ำได้ตลอดวัน
และของที่ม่ค่าที่เปียกน้ำได้ก็ไม่ควรพกพาติดตัวไป
เพราะเราจะไปล่องแก่ง และหมุดถ้ำน้ำตกกัน
เมื่อได้เวลานัดหมายคณะทัวร์ก็มาพร้อมกันหน้าที่พัก
ซึ่งทางหนำไพรวัลย์ ก็จัดรถมารับลูกทัวร์ทั้งหมด ดดยแบ่งออกเป็น ๒ คณะ
คณะแรกไปหมุดถ้ำกันก่อน อีกคณะคือคณะของเราไปล่องแก่งก่อน
หลังจากขึ้นรถเช็คจำนวนลูกทัวร์เรียบร้อยรถก็นำเรามุ่งหน้าไปทางเข้าน้ำตกกรุงชิง
แต่เลยขึ้นไปบนเขาเสร็จแล้วก็ไปส่งลงตรงที่ติดต่อล่องแก่ง
เพื่อรับเสื้อชูชีพและหมวกกันน็อค (เพื่อความปลอดภัย)
และรับฟังคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในการล่องแก่ง
เสร็จแล้วก็ต้อนลูกทัวร์ขึ้นรถปิคอัพบุกตะลุยขึ้นไปบนเขาอีกพักเล็กๆแล้วก็ปล่อยให้เราเดินตามทางเดินลงเขาไปที่แม่น้ำที่มีเรือยางจอดรออยู่แล้ว
มีทั้งชนิดเรือใหญ่นั่งประมาณ ๑๒ คน และเรือเล็กนั่ง ๒ คน
เมื่อพร้อมกันแล้วก็ผจญภัยกับการล่องแก่ง
ซึ่งตามคำบรรยายของหัวหน้าทัวร์บอกว่าการล่องแก่งในประเทศไทยแบ่งระดับความยากของสายน้ำออกเป็น
๗ ระดับ โดยแก่งที่เราล่องนี้อยู่ในระดับ ๓ ไม่นับว่ายาก
แต่ก็สนุกสนานตื่นเต้นดี
โดยเแพาะหากเป็นในฤดูที่มีน้ำเยอะจะเพิ่มความสนุกสนานตื่นเต้นมากๆเลย
ทั้งนี้เมื่อล่องมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
ก็จะจอดพักเรือที่โขดหินกลางลำน้ำเพื่อให้นักล่องแก่งได้ลงเล่นน้ำกัน
(แบบว่ากลัวจะไม่เปียกกันนะ) เมื่อล่องแก่งมาถึงจุดจอดเรือแล้ว
ก็จะเดินขึ้นฝั่งแล้วเจ้ารถปิคอัพก็จะมารับพวกเรากลับไปส่งตรงจุดติดต่อล่องแก่ง
เพื่อขึ้นรถของหนำไพรวัลย์ไปหมุดน้ำตกกันต่อไป
จากนั้นรถก็นำเราไปต่อยังถ้ำหงส์ เพื่อเข้าหมุดถ้ำและเล่นน้ำตกกันต่อ
เมื่อเดินทางถึงถ้ำก็ต้องเข้าแถวรับฟังกติกากันก่อน กติกาที่ว่าก็คือ
ให้เข้าถ้ำได้ที่ละคณะๆละไม่เกิน ๑๕ คน
เพราะถ้าเข้าไปมากๆอากาศจะไม่พอหายใจต้องมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานเป็นผู้นำทาง
และต้องมีไฟฉายเพราะในถ้ำจะมืดมาก
เมื่อฟังคำแนะนำกันเรียบร้อยก็คณะทัวร์ของเราก็เป็นคณะแรกที่จะหมุดเข้าถ้ำ
บางท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมไม่ใช้คำว่าเดินเข้าถ้ำ
แต่ใช้คำว่าหมุด ก็เริ่มกัน
ตั้งแต่ปากทางเข้าถ้ำกันเลยเป็นช่องขนาดคนอ้วนๆตัวใหญ่หย่อนตัวลงไปได้
เมื่อหย่อนตัวลงไปก็จะเจอกับธารน้ำไหลผ่านในถ้ำ
ซึ่งตลอดทางเดินเราจะต้องเดินลุยน้ำบ้าง เดินก้มตัวลุยน้ำบ้าง
คลานลุยน้ำบ้าง คืบคลานลุยน้ำบ้าง ปีนผาเตี้ยๆบ้าง
ไต่ไปตามบรรไดลิงบ้าง เป็นอันทุกข์ทรมานตลอดทาง
แถมมัวแต่ส่องไฟทางเดินเพราะต้องเดินลุยไปตามลำน้ำซึ่งมีหลุมบ่อตามธรรมชาติ
เลยไม่ค่อยได้ส่องดูหินงอก หินย้อยที่สวยงามสักเท่าไหร่
และท้ายสุดของเส้นทางก็พาเราไปสิ้นสุดที่น้ำตกซึ่งไหลตกเข้ามาในถ้ำ
เย็นสบาย เราหยุดเล่นน้ำตกกันนานพอสมควร
เพื่อทบทวนว่าขากลับเราก็ต้องเดิน มุด ก้มและคลานกลับทางเดิม
ซึ่งเป็นการสร้างภาระความลำบากให้กับพวกเราพอสมควร
เนื่องจากเราใส่กางเกงขาสั้น และเสื้อยืดแขนสั้น ทำให้หัวเข่า
และข้อศอกถูกทราย กรวดและก้อนหินบาดเป็นแผนกันหลายแผล
แถมบางช่วงหัวยังโขกหินผนังถ้ำอีก
แต่ขอบอกว่านี่แหละเป็นการเที่ยวที่สนุกเอามากๆเลย
เรากลับออกจากถ้ำมาค่อนข้างเย็นแล้ว รถของหนำไพรวัลย์ก็มาส่งเรา
เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกินอาหารเย็น
ซึ่งก็เน้นอาหารจากธรรมชาติ เช่น ยำผักกูด
ผักกูดลวกราดกะทิกินกับน้ำพริก แกงส้ม ผัดผัก
ซึ่งก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อรับประทานอาหารเสร็จทางหนำไพรวัลย์
ก็เชิญคณะทั้งหมดเข้าห้องกิจกรรมสัมพันธ์
เพื่อเข้าฟังและชมสไลด์การบรรยายเกี่ยวกับกรุงชิง
และโปรแกรมการท่องเที่ยวในวันรุ่งขึ้น
ส่วนเราขอละเลยดปรแกรมนี้ไปเพราะมั่วแต่พยายามกินน้ำเปลี่ยนนิสัยแก้ดหนื่อยกันอยู่
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาเข้านอน โดยมีข้อ
ตกลงกันว่า เราจะพร้อมกันตอนตีห้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อไปกินน้ำชา
ชมทะเลหมอก
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราถูกปลุกแต่เช้า เพื่อขึ้นรถไปจุดชมวิวทะเลหมอก
โดยรถคันเดิมที่นำเราไปล่องแก่ง
รถนำเราขึ้นไปบนเขาและปล่อยให้เราเดินขึ้นไปเขาอีกพักเล็กๆ
เขาที่เราขึ้นไปชมทะเลหมอก มีชื่อเรียกว่า เขาเหล็ก
เพราะเดิมเขานี้เต็มไปด้วยแร่เหล็กตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ญีปุ่นมาเจาะสำรวจเพื่อนำแร่เหล็กไปใช้
ในปัจจุบันยังคงมีหลุมที่เจาะสำรวจปรากฎหลักฐานอยู่
เมื่อขึ้นถึงจุดชมวิว ก็จะมีชาวบ้านปูเสื่อต้อนรับ พร้อมๆกับมีน้ำชา
กาแฟ โอวัลติน ปาท่องโก้ ข้าวเหนียวคอยให้บริการ
(จำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว) ส่วนของหนำไพรวัลย์ก็มีมีคูปองแลกน้ำชา
กาแฟให้ หลังจากอร่อยกับกาแฟ ปาท่องโก้แล้ว
ก็เป็นการพยายามหามุมถ่ายภาพกับทะเลหมอก ซึ่งมีวิวเทอกเขาเป็น ฉากหลัง
แต่วันนี้หมอกดูจะไม่เป็นใจกับพวกเรานัก
เพราะพยายามพัดกระจายไม่ลอยให้สงบนิ่งเลย
จนได้เวลาคณะผู้ชมทะเลหมอกก็เดินทางกลับมาที่พักเพื่อรับประทานข้าวต้มเป็นอาหารมื้อเช้า
และสำหรับท่านที่ชอบความตื่นเต้นหวดเสียว ก็จะมีกิจกรรมกระโดดหอสูง
โดยมีทหารจากกองทัพภาคที่ ๔ มาคอยให้บริการ จากนั้นก็อาบน้ำอาบท่า
เก็บสมบัติสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถของใครของมัน
เพราะกิจกรรมต่อไปจะเป็นการเดินเที่ยวน้ำตกกรุงชิง โดยทางหนำพรวัลย์
จะจัดข้าว ห่อให้ถือไปห่อละหนึ่งท่านพร้อมน้ำหนึ่งขวด
เพื่อไปกินเป็นมื้อกลางวันที่น้ำตก เมื่อคณะพร้อมแล้วรถของหนำไพรวัลย์
ก็ขับนำทางคณะเดินทางเข้าน้ำตกกรุงชิง โดยเสียค่าธรรมเนียมคนละ ๒๐
บาท
การเที่ยวน้ำตกกรุงชิงนี้มีการเตรียมตัวพอสมควร
สิ่งแรกคือเรื่องการแต่งกาย ควรเป็นรองเท้าผ้าใบ ใส่ถุงเท้ายาว
(ถ้าใส่รองเท้าแตะหรือใส่ผ้าใบและไม่ใส่ถุงเท้า ไม่สมควรอย่างยิ่ง)
กางเกงไม่ควรเป็นกางเกงขายาวแบบขาบานถ้ากางเกงขายาวก็ควรเป็นแบบขารัดแน่นๆหน่อย)
ถ้าให้ดีใส่กางเกงขาสั้นดีที่สุด ส่วนเสื้อก็ตามสบาย
ควรมีสิ่งแปลกปลอมทา(เช่น น้ำตะไคร้หอม ยาหม่องน้ำ)บริเวณรองเท้า
ถุงเท้า ขาแขน ซึ่งอันนี้ทางหนำไพรวัลย์ ได้จัดน้ำผสมยาเส้นมาให้ทา
ก็เพื่อป้องกันทาก ที่มีค่อนข้างชุกชุมนะครับ
การเดินป่าไม่ควรจัดหาเสบียงหรือสิ่งของเกินความจำเป็น
เพราะเป็นการเดินทางขึ้นเขาที่ไกลมาก ทั้งขาไปและกลับ
(ตอนขากลับยังนึกสงสารบางคณะเลยที่หอบหิ้วถังน้ำแข็ง อุปกรณ์
การทำครัวเข้าไปด้วย) สำหรับเรามีผ้าขาวม้า ติดตัวไป ๑ ผืน
ซึ่งใช้ประโยชน์ได้มาก เพราะเอาปลายข้างหนึ่งผูกห่อข้าว
อีกข้างหนึ่งผูกขวดน้ำ แล้วสะพายบ่า ไม่ต้องหิ้วถุงเหมือนคนอื่นๆ
และไม่ควรดื่มเครื่องดองของเมาก่อนเดินทางเพราะ
อาจได้รับอันตรายจากการเดินขึ้นหรือลงเขาได้
สุดท้ายที่เป็นกติกาคือไม่เด็ดใบไม้ ดอกไม้ต่างๆ
เพราะบางชนิดมีพิษรุนแรง เกิดผื่นคัน ถึงทำให้ตาบอดได้
และถ้าเป็นไปได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะไปเดินกรุงชิงก็ขอให้เตรียมความพร้อมของ
ร่างกายด้วยการออกกำลังกายไว้พอสมควร
เมื่อพร้อมกันแล้วก็เดินทางกันเลย ทางอุทยานทำป้ายบอกทางไว้ว่า
น้ำตกกรุงชิง ๓,๗๐๐ เมตร เอง เราเริ่มออกเดินประมาณ ๑๐.๐๐
น.ไปถึงเอาเที่ยงกว่าๆ การเดินทางก็เริ่มเดินตะลุย
ในช่วงแรกๆจะเป็นทางคอนกรีต
ที่ทางอุทยานสร้างอำนวยความสะดวกไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ทางเดินจะเป็นทางเดินขึ้นเขาเกือบตลอก
จะมีทางราบและลงเขาบางเล็กน้อย
พอในช่วงหลังๆทางเดินจะเปลี่ยนเป็นทางดิน
และที่สำคัญของการเดินก็ควรสำรวจทากไปตลอดด้วย
ขนาดเราเดินด้วยความระมัดระวังไม่เดินละต้นไม้ใบไม้แล้ว
ทากยังเกาะที่ถุงเท้า ๑ ตัว
ส่วนของคนอื่นๆไปเจอที่ที่หมาย(ดูดเลือดจนตัวบวมเลย
เพราะใส่รองเท้าผ้าใบ ไม่ใส่ถุงเท้า กับใส่ร้องเท้าแตะ
เลยไม่รู้ว่าทากเกาะดูดเลือกไปตลอดทาง)
การเดินทางต้องใช้ความอดทนพอสมควร
เพราะน้ำตกกรุงชิงอาจจะแปลกจากน้ำตกอื่นๆที่เราจะเดินเข้าไปที่ฐานน้ำตก
แล้วอยากชมชั้นสูงๆก้เดนขึ้นเขาต่อไป
แต่ของกรุงชิงนี้เราจะเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขา
แล้วก็จะต้องเดินลงบันไดไปที่เชิงเขา
จึงจะสู่จุดสวยที่สุดของน้ำตก คือหนานฝนแสนห่า
ซึ่งเคยได้รับเกียรติเป็นภาพด้านหลังของแบงค์พันแบบเก่ามาแล้ว
ซึ่งคณะของเราทั้งเด็กสาวๆ คนอ้วน คนแก่
ต่างก็เดินจนถึงน้ำตกกันได้ทุกคน และทุกคนก็ภูมิใจที่เดินจนถึง
ถึงแม้ว่าบางคนจะเดินไปร้องไห้ไปก็เถอะ
เมื่อเดินทางถึงพวกเราก็ล้อมวงแก้ข้าวห่อออกมานั่งกินกัน
ซึ่งทางหนำไพรวัลย์ จัดข้าวแบบห่อใหญ่พิเศษ มีแกงใส่ถุง ไข่ต้มหนึ่งใบ
ปลาเค็มทอดอีกหนึ่งตัว อร่อยมาก (ด้วยความเหนื่อยไง) หลังจาก
นั้นเมื่อหายเหนื่อยดีแล้ว ก็พยายามปีนป่ายก้อนหินลงไปเล่นน้ำตกกัน
เพื่อความสดชื่นสบายกาย สบายใจ ก่อนที่จะต้องเดินทางกลับ
ขากลับหนักหนาสาหัสที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนเดินขึ้นบันได้กลับไปบนยอดเขาอีกครั้งนี่แหละ
เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจกว่าจะเดินขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็จะสบายหน่อย
เพราะจะเป็นการเดินลงเขาซะมาก
แต่ก็ต้องเกร็งน่องเอามากๆจนพาลจะเป็นตะคิวเอา
แต่ทุกคนก็เดินทางกลับมาจนครบ เมื่อมาถึงที่ทำการอุทยาน
ทางหนำไพรวัลย์
ก็ยังบริการเราด้วยแตงโมแช่เย็นเพื่อดับร้อนผ่อนกระหายก่อนแต่ละคณะจะแยกย้ายกันเดินทางกลับ
หรือท่องเที่ยวต่อ