ย้อนกลับไปราวๆสักสี่สิบปีที่แล้ว ยุคที่ขาดแคลนประชาธิปไตยแต่ก็มีเลือกตั้งอยู่ประปราย ตอนนั้นประเทศเรากำลังจะมีแผนแม่บทที่เรียกว่า "แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ"เป็นปฐมฤกษ์..แต่มันก็ไม่เกียวกับเรื่องที่กำลังจะเล่าหรอกนะ
วัดขนาดกลางแ่ห่งหนึ่งในภาคกลาง มีฐานะด้านเศรฐกิจของสงฆ์ตามสมควร กล่าวคือมีประชาชนในพื้นที่ให้ความเลื่อมใสศรัทธาเข้ามาประกอบศาสนกิจเป็นประจำต่อเนื่องกันมาหลายชั่วคน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า สมภารเจ้าอาวาสทุกยุคสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ตลอดจนมีความสามารถในการพัฒนาศาสนสถานและเป็นหลักเป็นกำลังใจให้กับชาวบ้านสืบมาทุกรูป
เป็นธรรมดาวัดที่ผู้คนเลื่อมใสมักมีชาวบ้านแวะเวียนไปมาอยู่เนืองๆ แม้ว่าไม่ใช่วันพระหรือวันที่มีการประกอบศาสนกิจก็ตาม เมื่อมีคนมากประกอบกับเป็นสถานที่ร่มเย็น เป็นพื้นที่เขตอภัยทานจึงเป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์ต่างๆมากมายหลายชนิด ทั้งที่เป็นสัตว์เลี้ยงและสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยง ทั้งที่เข้ามาเองโดยสมัครใจและที่ถูกจับมาปล่อยไว้โดยไม่สมัครใจ
วัดนี้ก็เช่นกัน นอกจากสัตว์ปีกชนิดต่างๆ สัตว์น้ำบริเวณศาลาท่าน้ำแล้ว สัตว์เลี้ยงที่ขาดไม่ได้สำหรับวัด หมาและแมว ก็มีอยู่มากมายเป็นปรกติของวัด
เมื่อมีสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมากปัญหาต่างๆจากสี่ขามะหมามะแมวก็ย่อมมากตามไปด้วย ทั้งที่เกิดจากการขับถ่ายเลอะเทอะไปทั่ว การทำความเสียหายให้กับข้าวของต้นหมากรากไม้ ตลอดจนการแบ่งพวกแบ่งสีตลุมบอนกันให้เป็นที่เดือดร้อนรำคาญชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปอยู่เนืองนิจ
...เอ่อ !!..ไม่ได้ว่าใครนะ...นิทาน..นิทาน !
หมา (เรียกอย่างจริตว่าสุนัขก็ได้) ..ยังพอมีวิธีกำหราบ อย่างน้อยพวกมันก็ดูจะเกรงอกเกรงใจชาวบ้านกับเณรน้อยที่ตัวไม่น้อยเจ้าของตะพดหัวทองเหลืองกับหนังสติ๊กด้ามเขาควายขัดมันอยู่บ้าง
แต่เจ้าเหมียวทั้งหลายนี่ซิ นอกจากจะมีจำนวนมากแล้วยังชอบมาเคลียคลอเกะกะไปทั่ว พระเณรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปฏิบัติกิจของสงฆ์ก็จะถูกรบกวนอยู่ไม่สร่างซาเป็นที่เอือมระอาทุกวี่วัน
ยิ่งถ้าเป็นเวลารับประทานอาหาร ( ฉัน ) ทั้งเช้าทั้งเพล ( พระไม่ต้องฉันเ็ย็น ) เป็นต้องวุ่นวายไม่เป็นอันกิน ต้องคอยไล่คอยยกกับข้าวหนีเป็นที่เดือดร้อนกับสามเณรและเด็กวัดเป็นอย่างยิ่ง
จนกระทั่งท่านเจ้าอาวาสทนพฤติกรรมของสหายโดเรม่อนไม่ไหว สั่งให้เณรกับเด็กวัดจับแมวทุกตัวผูกไว้กับลูกกรงระเบียงหอฉันก่อนที่จะฉันเช้า ฉันเพลทุกครั้ง
ตั้งแต่บัดนั้น โลก..เอ๊ย วัดจึงกลับสู่ความสงบสุขตลอดมา ทั้งสามเณรและศิษย์วัดทุกยุค ทุกสมัยก็รู้ธรรมเนียมปฏิบัติสืบมา..จนกระทั่ง
เมื่ประมาณแปดถึงเก้าปีที่แล้ว ไม่แน่ชัดว่าเกิดโรคระบาดใดกับสุนัขและแมวที่วัดแห่งนี้ ทำให้พวกมันทยอยเจ็บป่วยล้มตายลงเรื่อยๆทุกวัน แม้จะได้พยายามหายาทั้งยาหลวงยาสมุนไพรรักษาแต่ก็ไม่เป็นผล
ในที่สุดก็ไม่เหลือหมาแมวที่วัดนี้อีกเลย
เจ้าอาวาสรูปใหม่ เป็นพระบวชจากที่อื่นย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ยังไม่ถึงสามปี แม้ว่าท่านจะเป็นพระที่เชื่อมั่นตนเองไปหน่อย ไม่ค่อยฟังใครอยู่บ้าง แต่ท่านก็เป็นผู้ที่มีความรู้แถมยังเคร่งครัดปฏิบัติศาสนกิจเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเรื่องของพิธีกรรมจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
ด้วยเหตุที่ว่าท่านพูดน้อย ไม่ถาม หากสงสัยอะไรจะคิดหาข้อสรุปด้วยตัวเองไปทุกเรื่อง ท่านจึงมีความรู้เรื่องของวัดจริงๆอย่างถูกต้องน้อยมาก หลังจากหมาแมวพร้อมใจกันตายในขณะที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านจึงวิตกกังวล ครุ่นคิด เหม่อลอย บ่อยครั้งที่เห็นว่าท่านแอบถอนหายใจถี่มากจนพระเณรและชาวบ้านสังเกตุได้
หลังจากแมวตัวสุดท้ายตายลงครบสามวันเมื่อเห็นว่าท่านเซื่องซึมจนผิดปรกติเกินไปแถมยังไม่ยอมฉันอาหารมาสามวันแล้ว ชาวบ้านซึ่งพร้อมใจกันเชื่อว่าท่านคงเสียใจสลดหดหู่กับการตายของหมาแมว..บางทีอาจทำให้ท่านเหงา จึงได้ช่วยกันหาแมวมาให้เลี้ยงไว้ในวัดสองสามตัวในตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น
ท่านเจ้าอาวาสรู้เรื่องรีบตรงมาที่หอฉันแต่เช้าพบพระเณรกำลังเตรียมสำรับอยู่พอดีจึงรีบสั่งให้เณรและเด็กวัดจับแมวไปผูกไว้โดยพลันส่วนตัวท่านรีบนั่งล้อมวงเตรียมฉันเช้าพร้อมกับพูดขึ้นลอยๆดังไปทั่วหอฉัน
"คิดว่าต้องตายเพราะอดข้าวเสียแล้ว..."
พูดจบหันไปสบตากับพระเฌรที่สแตนด์บายรอฉันเช้าพร้อมพูดขึ้นอีกว่า
"...พวกคุณนี่ก็ช่างกะไรทุกรูปเลย...ไม่ได้ทำพิธีผูกแมวก็ยังฉันกันได้ตั้งสามวัน...ฉันเสร็จแล้ว..ลงโบสถ์ปลงอาบัติซะทุกรูปนะ....อ้อ ! เณรด้วย อย่าให้ชาวบ้านเขาว่าได้ว่าเราไม่เคร่ง !..."
ไม่มีความเห็น