“จากวันนั้นเพื่อนขวัญเคยร่วมกันขับขาน ร่วมจิตใจ
สู่วันนี้พี่น้องจำจากไกล ฝากใจถึงทุกคน
ด้วยความรักเปี่ยมล้นบนเส้นทางสว่างไสวในศรัทธา
ร่วมกันสร้างพรุ่งนี้ของประชาที่สดใส
ให้เป็นจริง
ชีวิตเธอมีคุณค่ามวลประชาเฝ้ารออยู่ รอเธอเป็นผู้ก้าวไป
ดังมวลไม้ที่งอกงามยามถึงคราชูช่อใบ ไปเถิดจงไปทั่วแดน
อยากให้เธอเป็นเทียนเล่มน้อยที่ส่องแสง สู่หน ทางมืดมน
เทียนสว่างไสวอยู่ในใจผู้คน ตราบจน
นิรันดร”
บทเพลงนี้มีเนื้อหาที่ทำให้นักศึกษาแพทย์มีความมุ่งมั่นที่จะออกไปเป็นแพทย์ที่ดีของประชาชน
จากความมุ่งมั่นอันบริสุทธิ์ในวัยนักศึกษาสู่วันที่เป็นแพทย์เต็มตัวก้าวออกไปใช้วิชาความรู้เพื่อประชาชนเป็นคนที่ช่วยดูแลเขา
เป็นหมอที่น่ารักของชาวบ้าน
โรงพยาบาลชุมชนแม้จะเล็กแต่ก็มากไปด้วยน้ำใจและมิตรไมตรีของผู้ร่วมงานที่มีต่อกันและของชาวบ้านที่มีต่อเรา
เป็นทุนทางสังคมที่มีค่าที่ช่วยให้หมอสามารถทำงานอยู่ในชนบทได้อย่างมีความสุข
จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชบิดาที่ว่า
“ความสำเร็จที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การเรียนรู้
หากแต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้
เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ”หรือ“True success
exists not in learning, but in its application to the benefit of
mankind”
แพทย์จึงไม่ควรรู้แต่เรื่องโรคแต่ต้องรู้เรื่องคนด้วย
การทำงานในโรงพยาบาลชุมชนจะทำให้ได้รู้จักคนมากหลากหลายความคิด
ต่างสาขา ต่างวัย ต่างประสบการณ์ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางการทำงานที่อาจแตกต่างทางความคิด
แต่ไม่แตกแยกและพยายามหาความเห็นร่วมกันอย่างเหมาะสม
ในการเป็นแพทย์ชนบทจึงควรมีบทบาทสำคัญ 5 ด้านคือ
1. เป็นหมอ
ต้องเป็นหมอทั่วไปที่ดูแลรักษาได้ทุกด้าน
รู้ว่าโรคไหนต้องรักษาอย่างไร รักษาที่ไหน
ที่สำคัญต้องรู้ตัวเองว่าโรคไหนต้องส่งต่อ
โรคไหนรักษาได้โดยยึดถือความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก
เป็นหมอที่มองกว้างมองให้ไกลกว่าโรงพยาบาลมองไปถึงครอบครัว
ชุมชนของผู้ป่วย ทำภารกิจให้ครบทั้งด้านส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค
รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ เป็นหมอที่มี Eagle eye ,Lion heart ,Woman
hand
2. เป็นครู
ต้องสอนหรือแนะนำคนอื่นได้ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน
สามารถสื่อสารกับคนอื่นๆได้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยเฉพาะในการดูแลตนเองไม่ให้เจ็บป่วยและการดูแลตนเองให้หายจากการเจ็บป่วย
นั่นคือคุยกับคนอื่นโดยเฉพาะคนนอกวงการแพทย์รู้เรื่อง
3.
เป็นนักบริหาร
สามารถบริหารจัดการโรงพยาบาลให้ปฏิบัติภารกิจที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้
บริหารจัดการให้โรงพยาบาลอยู่ได้ เชื่อมโยง
ประสานและมอบหมายงานได้อย่างเหมาะสมต้องศึกษาหลักการทางการบริหาร
ให้บริหารอย่างมีหลักการ จะได้ไม่เป็นเหมือนที่มีคนเขียนไว้ว่า
“เมื่อหมอไปเป็นผู้บริหาร จะเสียหมอดีๆไปหนึ่งคน
และได้ผู้บริหารที่เลวมาหนึ่งคน”
4.
เป็นนักประชาสัมพันธ์
ที่สื่อสารกับบุคคลทั้งในและนอกโรงพยาบาลได้ดี
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพื่อความราบรื่นในการทำงาน
โน้มน้าวให้คนยอมรับด้วยใจมากกว่าการใช้อำนาจ
เชื่อมประสานกับคนอื่นหรือหน่วยอื่นได้เพื่อจะได้ดึงหน่วยงานต่างๆมาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน
5.
เป็นนักพัฒนาชนบท
ในฐานะที่เป็นแพทย์ชนบทหรือหมอบ้านนอกต้องมีส่วนร่วมกับหน่วยงานอื่นๆในการพัฒนาชนบทเพราะปัญหาด้านอื่นๆก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนด้วย
ดั่งวงจรชั่วร้ายต้นตอปัญหาสังคมไทย(Vicious
cycle)ที่ว่าเรื่องโง่(ไม่รู้),จน(ไม่มี),เจ็บ(ไม่แข็งแรง)
ถ้าเราทำด้านสาธารณสุขอย่างเดียวปัญหาก็จะลดลงยาก
บทบาท 5 ด้านของแพทย์ชนบทต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น
รู้จักการทำงานเป็นทีม ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของผู้อื่น
ยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล
ทำงานโดยความร่วมมือจากหลายๆฝ่าย
การเรียนรู้จากชาวบ้านเป็นสิ่งมีค่ามากเพราะงานโรงพยาบาลชุมชนมีความผูกพันอยู่กับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
ราชการจะมีระเบียบกฎเกณฑ์เยอะ จำไม่ไหว ขณะที่ชาวบ้านเขาจะง่ายๆ
ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรในชีวิตมากนัก
เวลาราชการจึงไม่สะดวกเท่าเวลาราษฎร
และไม่มีทางที่จะเอาวิถีราชการไปเปลี่ยนวิถีชาวบ้าน
เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับวิถีราชการให้สอดคล้องกับวิถีชาวบ้านจึงจะสามารถพัฒนาสุขภาพของพี่น้องประชาชนได้
ข้อแนะนำในการทำงานในชนบทอย่างมีความสุขคือ
1.
มีปัญญาคือความรู้ที่สามารถปฏิบัติงานได้จริงหรือแก้ปัญหาได้จริง
รู้และทำได้ในสิ่งที่จะต้องเอาไปใช้งาน
สามารถดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเหมาะสมกับสภาพของสังคมที่เราอยู่
สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมที่ทั้งเก่งงาน
เก่งคน เก่งคิดและเก่งชีวิต
2.
ยอมรับผู้อื่น ยอมรับความแตกต่าง
ยอมรับความสามารถของผู้อื่น รู้จักหาคนมาช่วยงาน
รู้จักใช้คนให้ตรงกับงาน ไว้ใจคนอื่นได้
รู้จักแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง
3.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้หรือผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกับเราได้
ไม่เก่งคนเดียว รู้จักการทำงานเป็นทีม มีภาวะผู้นำที่เหมาะสม
รู้จักมองไกล แต่ทำใกล้(Think Big , Start Small ,
Begin Now)
4.
รู้จักรักทั้งรักตนเองและรักผู้อื่น
ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น รู้จักให้ ขอ
ยอมรับและปฏิเสธในจุดที่พอดี
5.
มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด
นึกถึงประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ท้อถอยง่าย
ต้องหนักแน่นมั่นคง มั่นคงในปณิธาน
มั่นคงในหน้าที่และมั่นคงในจรรยาบรรณแพทย์
ให้นึกถึงคำของโกวเล้งที่ว่าอย่าเห็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นความชั่วเล็กน้อยแล้วกระทำ
6.
เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและรู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
เพราะคนเก่งจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตนเอง
แต่คนฉลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนเก่ง รู้จักปรึกษาคนอื่น
อย่าถือดีดันทุรัง ขอให้ถือว่าทุกคนเป็นครู
ทุกที่เป็นห้องเรียน
เรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
7.
เข้าสังคมและชุมชนได้
ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมทั้งในที่ทำงานและวิถีชาวบ้านได้ดี
ไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้าเป็นก็ได้
สังคมชนบทเข้าไม่ยากเพียงแค่จริงใจใฝ่เรียนรู้ก็เข้าได้แล้ว
8.
เล่นกีฬาเป็นบ้าง ไม่จำเป็นต้องเล่นเก่ง
แต่สามารถร่วมเล่นกับคนอื่นๆได้
9.
รู้จักหาแรงบันดาลใจ
ที่จะช่วยให้เรามีความสุขกับการทำงาน กับผู้ป่วยและกับชีวิตของเรา
เช่นสุภาษิต คำคม
หนังสือธรรมะหรือชีวประวัติบุคคลตัวอย่างของสังคม
10. รู้จักทำใจ
ในชีวิตการทำงานจริงจะหวังความคิดบริสุทธิ์แบบการทำกิจกรรมในวัยเรียนยากเพราะต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ซ่อนอยู่ลึกๆ
ยิ่งในระบบราชการด้วยแล้ว เมื่อเราทำงานเราพยายามคิด
พยายามทำอย่างเต็มที่ เราลงแรงไปร้อย อาจจะได้แค่40-50
ก็ขอให้พอใจกับสิ่งที่ได้ อย่าไปไม่พอใจกับสิ่งที่ไม่ได้
เพราะความสำเร็จนั้นมีปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้อีกเยอะ
รู้จักมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆน้อยๆที่กระทำ
ควรมองโลกอย่างที่มันเป็น
อย่ามองโลกอย่างที่เราให้เป็นเพราะเราจะผิดหวังง่ายและเมื่อไม่เป็นอย่างที่เราคิดจะทำให้เราท้อแท้และท้อถอยง่าย
ในมุมมองผมการสร้างสุขภาพจึงต้องเริ่มที่องค์กรสาธารณสุขก่อน
การสร้างสุขภาพของโรงพยาบาลต้องสร้างสมดุล 3
ด้าน(CEO)คือประชาชน(Citizen)มีคุณภาพชีวิตที่ดี
เจ้าหน้าที่(Employee)มีความสุขและโรงพยาบาล(Organization)อยู่รอด
ซึ่งเป้าหมายนี้ผมคิดจากความเป็นจริง(Realistic)ไม่ใช่จากความฝัน
(Romantic)
ความคิดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงจะสามารถปฏิบัติสำเร็จได้ง่าย
โรงพยาบาลต้องมองบริการในเชิงกว้างคือทั้งบริการบุคคล
บริการกลุ่มคนและบริการสังคม ที่ต้องผสมผสานทั้งการส่งเสริม ป้องกัน
รักษาและฟื้นฟู ยิ่งในยุคปัจจุบันองค์กรต่างๆจะอยู่รอดได้ต้องมี 3
อย่างคือคุณภาพ ประสิทธิภาพและประหยัด
เรื่องคุณภาพคือทำให้ดีทั้งบริการ(ในโรงพยาบาล)และสุขภาพดี
เรื่องประสิทธิภาพและประหยัดนั้นก็คือGood Health at Low
cost เราจะพบว่าถ้าเจ็บป่วย(ทุกขภาวะ)
เราต้องให้การรักษา(Curative)จะเกิดความเสี่ยงสูง(High
risk)และค่าใช้จ่ายสูง(High cost)
แต่ถ้าเราทำเรื่องไม่ป่วย(สุขภาวะ)เราก็ส่งเสริมป้องกัน
(Prevention & promotion)
เราจะมีความเสี่ยงต่ำ(Low
risk)และค่าใช้จ่ายต่ำ(Low cost)
การสร้างสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากแต่ต้องใช้เวลานาน
ทำปีเดียวจะให้เห็นผลนั้นยาก
เมื่ออยากได้ผลงานเร็วจึงไม่ได้ทำ(Do)แต่Make
หรือได้ทำแต่ไม่ได้ผล(Result)
หรือได้ภาพ(ตัวเลข/รูปถ่าย)แต่ไม่ได้สุข(Health)
กลายเป็นสร้างภาพมากกว่าสร้างสุข
เลยไม่ได้สุขภาพ
การใช้โรงพยาบาลเป็นฐานในการสร้างสุขภาพจะให้โรงพยาบาลมีคุณภาพแบบสร้างสุขภาพ
เป็นเสมือนจุดกำเนิดกระแสการสร้างสุขภาพคล้ายๆกับจุดกำเนิดกระแสไฟฟ้าของหัวใจ
แล้วส่งผ่านกระแสไปที่สถานีอนามัยที่เป็นเหมือนโหนด(nodes)ที่อยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจห้องต่างๆทำให้หัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอพร้อมเพรียงและสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้
โรงพยาบาลจะเป็นเหมือนศูนย์กระตุ้นการสร้างสุขภาพ
(Healthy Facilitating
Center)ที่ช่วยส่งกระแสการสร้างสุขภาพลงสู่ชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
เมื่ออยู่ใกล้โรงพยาบาลจะมีความซับซ้อน(Complexity)และเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสูง(Specialist)ต้องใช้เครื่องมือเทคโนโลยีมาก(High
technology)แต่จะเข้าถึงยาก(Low
touch)และเมื่อออกห่างโรงพยาบาลเข้าใกล้ชุมชนความเชี่ยวชาญเฉพาะจะลดลง
เครื่องทอเทคโนโลยีชั้นสูงลดลง(Low
technology)แต่ความทั่วไป(Generalist)
ที่สัมผัสได้ง่ายจะสูงขึ้น(High
touch) ยิ่งเข้าใกล้ชุมชน
ใกล้ประชาชนยิ่งต้องการความง่าย
(simplicity)มากขึ้น
ในการทำให้ประชาชนสร้างสุขภาพตัวเองได้เมื่อคิดจากฐานของโรงพยาบาลที่จะต้องสร้างพันธมิตรระหว่างโรงพยาบาลกับชุมชน
เราจะทำเป็น 5 ระยะ(Phasing)
คือ
1.
เราทำเชิงรับให้เขา
เริ่มจากสร้างศรัทธาชาวบ้านโดยเน้นการรักษาให้ดีให้เขาเชื่อใจ ศรัทธา
เชื่อถือ
2.
เราทำเชิงรุกให้เขา
เราออกไปส่งเสริมป้องกันโรคให้ชาวบ้านเพื่อบอกวิธีที่เขาจะไม่ป่วยซึ่งก็ทำให้อัตราเจ็บป่วยในโรคที่ป้องกันได้ลดน้อยลง
3.
เราและเขาทำเชิงรุก
เรากับชาวบ้านช่วยกันส่งเสริมป้องกันโรค
ช่วยกันทำกิจกรรมหรือโครงการสร้างสุขภาพร่วมกับท้องถิ่น ผู้นำชุมชน
กลุ่มต่างๆของชุมชนโดยการใช้งบประมาณทั้งของเราและจากชุมชน
4.
เขาทำเราสนับสนุน
ชาวบ้านช่วยกันส่งเสริมป้องกันโรคโดยมีเราเป็นผู้สนับสนุนด้านความรู้และ
เทคโนโลยี
5.
เราและเขาคือพวกเราช่วยกันทำ
โดยรั้วโรงพยาบาลจะเป็นอาณาเขตของอำเภอ
เตียงนอนที่บ้านชาวบ้านจะเป็นเตียงนอนของโรงพยาบาล
หมู่บ้านแต่ละหมู่จะเป็นหอผู้ป่วย
โดยมีญาติผู้ป่วยเป็นผู้ช่วยเหลือคนไข้
พ่อแม่พี่น้องในบ้านจะเป็นพยาบาลประจำตัวผู้ป่วย
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจะเป็นพยาบาลประจำตึก
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่างๆจะเป็นหมอที่ดูแลผู้ป่วย
แพทย์จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาผู้ป่วย
และเมื่อนั้นการออกเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้านก็จะเป็นการทำวอร์ดราว(Ward
Round)ที่สมานความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของโรงพยาบาลและชุมชนได้
แนวคิดที่ใช้ในการบริหารจัดการเครือข่ายบริการสุขภาพเพื่อสร้างเสริมสุขภาพใช้แนวคิดหลัก
9 ประการ เรียกว่าการจัดการสร้างเสริมสุขภาพโดยรวม
(Total Healthy Management) เพื่อนำไปสู่
Health for All, All for Health ส่งผลให้เกิด
Healthy Thailand ได้
แนวคิดหลักดังกล่าวมีดังนี้
1.
มุ่งเน้นสุขภาวะ(Focus on Health)
โดยเน้นการทำงานเพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ครบทั้งด้านร่างกาย จิตใจ
สังคมและเชาว์ปัญญา
2.
นำพาด้วยกลยุทธ์(Strategic driven)
เน้นการทำเชิงยุทธศาสตร์เพื่อทำให้เกิดเป้าหมายร่วมกันของทีมงานและขับเคลื่อนไปทั้งระบบ
ไม่เน้นการทำเป็นโครงการๆไป
3.
ฉุดด้วยการเสริมพลัง(Empowerment)
เน้นการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่แต่ละส่วนเกี่ยวข้อง
4.
มุ่งหวังชุมชนและประชาชน(Community &
Citizen focus)
มองกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั้งอำเภอทั้งกลุ่มปกติ กลุ่มป่วย
กลุ่มเสี่ยงและพิการด้อยโอกาส
5.
เปี่ยมล้นการจัดการกระบวนการ(Process
management)
เน้นการจัดกระบวนการให้บริการทางด้านสุขภาพเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
ผสมผสานและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
6.
สร้างสรรค์นวัตกรรม(Creativity &
Innovation)
เน้นการคิดรูปแบบกิจกรรมใหม่ๆในการแก้ปัญหาเดิมและปัญหาสุขภาพใหม่ๆที่เกิดขึ้น
7.
ทำด้วยทีมที่มุ่งมั่น(Teamwork with
commitment) มีการทำงานเป็นทีมทั้งทีมในโรงพยาบาล
ทีมในสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ทีมในสถานีอนามัย ทีมใน คปสอ.
รวมทั้งเป็นทีมร่วมกับหน่วยงานอื่นๆเช่นท้องถิ่นหรือส่วนภูมิภาคอื่นๆนอกกระทรวงสาธารณสุข
8.
สานฝันอย่างมีส่วนร่วม(Participation)
เน้นการมีส่วนร่วมในการคิด
การวางแผนการปฏิบัติและการประเมินผลในส่งที่ทำและร่วมกันทำ
9.
รวมพลังอย่างยั่งยืน(Sustainability)
มีการทำอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ
ไม่ทำแบบหวือหวาแต่ทำแบบธรรมดาไปเรื่อยๆพร้อมกับมีการเรียนรู้จากความสำเร็จและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าสุขภาพเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องดูแลตนเองอยู่ตลอดเวลา
หมายเลขบันทึก: 30005เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2006 15:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 00:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน
ความเห็น
ไม่มีความเห็น