• การประเมินที่ทำอย่างถูกต้องเหมาะสมคือการหมุนเกลียวความรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับผู้ประเมิน
• ผู้ปฏิบัติงานได้พลังภายนอก คือผู้ประเมิน มาช่วยขับเคลื่อนการพัฒนางานและพัฒนาตัวเอง เป็นพลังของการได้มุมมองที่แตกต่างจากมุมมองของผู้ปฏิบัติงาน
• การประเมินควรได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มันเข้ามารับใช้เป้าหมายนี้มากที่สุด
• ดังนั้น กระบวนการประเมิน กระบวนการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ประเมินกับผู้รับการประเมินจึงสำคัญยิ่ง สำคัญกว่าผลการประเมิน
• กระบวนการสำคัญ ๘๐% ผลการประเมินสำคัญ ๒๐%
• ผู้ประเมินทำหน้าที่รับใช้ผู้รับการประเมินด้วยการเก็บข้อมูล และประมวลข้อมูล เอามาใช้เสวนากับผู้รับการประเมิน ด้วยท่าทีของการเสวนา (dialogue) หรือสื่อสารแนวราบ เพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ยืนยันความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ความสำเร็จตามเป้าหมาย ลัส่วนที่ถ้าปรับปรุงก็จะบรรลุความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หรือความสำเร็จตามเป้าหมาย ได้ในอนาคต
• ในกระบวนการ dialogue นี้ ผู้รับการประเมินต้องมีทักษะในการ “ล้วงความรู้” ของผู้ประเมิน เอามาใช้ต่อ ผมเคยทำเช่นนี้เมื่อราวๆ ปี ๒๕๔๐ เมื่อ สกว. ว่าจ้าง TRIS ให้มาประเมิน สกว. เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักเครื่องมือ Balanced Score Card การประเมินครั้งนั้นทำให้ผมได้ความรู้ทั้งวิธีมองผลงานจากหลายมิติหรือหลายมุมมอง และวิธีวัดผลงานในมิติเหล่านั้น
• การประเมินจึงเป็นการดึงเอาความรู้ภายนอกเข้ามาใช้ในการพัฒนางาน และพัฒนาคน
วิจารณ์ พานิช
๘ ส.ค. ๕๒
(ใคร่ครวญอยู่นานว่าจะเขียนหรือไม่ดี) ด้วยความที่อ่อนด้อยในความเข้าใจ KM ทำให้อ่านแล้วไม่แน่ใจในแนวทางแบบ การประเมิน กับ กระบวนการ KM ดีนัก
เท่าที่เข้าใจโดยสรุปการประเมินก็คือการพูดคุยกันในสิ่งที่ทำไปแล้ว และกำลังทำอยู่ ว่าสำเร็จหรือไม่อย่างไร อย่างเปิดใจ เพื่อชื่นชมกับความสำเร็จ และเรียนรู้สิ่งที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ แต่เป้าหมายที่สูงสุดคือเพื่อสร้างสัมพันธภาพและความรื่นรมในการทำงานร่วมกัน
ดังนั้นแนวทางการประเมินในปัจจุบันจึงไม่ใกล้เคียง KM เลย เพราะ การประเมินทำเพื่อวัดผลสำเร็จของงาน แต่ไม่ได้ชื่นชมหรือมองสิ่งที่ได้เรียนรู้จากงาน
ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้อง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ