นกแสกหน้า นสพ.หัวเขียว


แค่เพียงมีคำถาม ต่อมุมมอง มุมคิด ของการนำเสนอข่าวสารเพื่อสังคมไทย ของ หนังสือพิมพ์ไทยฉบับหนึ่ง ด้วยมุมมอง ต่อความเชื่อที่มีนัยยะ และ สัญญะ สำคัญนกแสก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา ทั้งในมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม มุมคิดของผู้คนในสังคมไทย และความเชื่อ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คน โดยขาดการไตร่ตรอง รวมทั้งการละเว้นไว้ ซึ่งการใช้ปัญญาในการถามไถ่ หรือ ค้นหาทางออกของปัญญา

นกแสกหน้า นสพ.หัวเขียว

 

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

เห็นข่าวสาร

บอกเล่าเรื่องราว

ความเชื่อเรื่องความตาย

 

โดยอ้างอิง สัญญาณความตาย จากเสียงร้องของนกแสก ซึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนำเสนอ ได้ทำให้สังคมไทย ปรากฎเรื่องราวที่น่าสนใจในการนำเสนอ ไม่นับเสียงตอบรับจากชุมชนคนรักนก ที่สามารถอธิบายมุมมองความเชื่อ และ ความจริงตามธรรมชาติ

ขณะที่มุมมองรายการวิเคราะห์ข่าวสาร

ได้เจาะลึกมุมคิดที่น่าสนใจ

เกี่ยวกับ นกแสก

 

ซึ่งเมื่อสัมภาษณ์ นักวิชาการ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับนกแสก ฟังเสียงนกแสกแทบทุกวัน และยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน ได้อธิบายมุมมองถึงความน่ารัก ในความเป็นสัตว์สังคมของนกแสก ซึ่งใช้เสียงในการร้องเรียก สื่อสาร และสร้างสายสัมพันธ์ภายในกลุ่ม ภายในครอบครัว

ไม่นับรวม

ประโยชน์เอนกอนันต์

ในการแก้ปัญหาหนูนาในนาข้าว

 

แก้ปัญหาภาวะวิกฤติของศัตรูพืช เป็นผู้คุมห่วงโซ่อาหารที่น่าสงสาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้ยาฆ่าแมลงของเกษตรกร ซึ่งหากเราเรียนรู้ความจริงว่า สังคมเกษตรกรรมบ้านเรา ล้วนคุ้นเคยกับเสียงนกแสกมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย อาจมีบ้าง ที่เรียนรู้ว่า ชีวิตเริ่มจะไม่มงคล

หนทางการทำบุญทำทาน

จึงเป็นทางออกของใจ

หากได้ยินเสียง

 

นับเป็นหนึ่งกุศโลบายสำคัญประการหนึ่ง ที่ล้มหายตายจากไปพร้อมสังคมรีบรวย สังคมผ่อนส่งแบบลูกโป่ง สังคมเกษตรแบบผ่อนส่งรถกะบะ ที่ไม่ค่อยได้ยินเสียงนกแสก เพราะนกแสกกินหนูนาที่ตายจากยาฆ่าแมลง กระทั่งนกแสกแทบจะสูญพันธุ์จากท้องทุ่งภาคกลาง ไม่นับรวมวิกฤติที่ติดตามมา จากศัตรูพืชมากมายที่ทะลักเข้านาข้าว

วิกฤติจากความไม่รู้

ยังไม่จบสิ้นไป เพราะความรวยที่ลดลง

แต่วิกฤติจากการนำเสนอความไม่รู้ ให้น่าตื่นเต้น

 

ด้วยอวิชชา ไสยศาสตร์ มนต์ดำ ความเชื่อปรัมปรา ประมาณว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กลายเป็นหนึ่งอวิชชาที่ ตะเกียงส่องนำสังคม เช่น สื่อสารมวลชนทั่วไป ควรทำความเข้าใจ หรือศึกษาให้ชัดเจนเพียงพอ ว่าผลกระทบจากความตื่นกลัว จนอยากฆ่านกแสก เพียงเพราะความไม่รู้ หรือรู้แบบมีอวิชชาครอบงำนั้น น่ากลัวและน่าเจ็บปวดเพียงใด

สำหรับสังคมไทย ที่เราได้มีโอกาสเห็น

ความหวังจากการจุดธูปไหว้สัตว์

ขอเลขขูดหวย โรยแป้ง

 

ทั้งหมดที่เราเห็นนั้น ใครจะกล้ายืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่อวิชชา หรือหากยึดคำพระ ที่สอนเรื่องปัญญา สอนเรื่องการเตือนตน และค้นให้รู้เหตุแห่งปัญหา ใครบ้างจะกล้ายืนอยู่ข้างหลักการว่า นกแสก เป็นสัญญะนำสารแห่งความตาย

น่าเจ็บปวดครับ

สำหรับหน้าที่อันพิกลพิการ

ในการนำเสนอข่าวสารสาระความรู้

 

เพื่อทำให้ผู้คนในบ้านเมืองของเรา เท่าทันต่อปัญญา เท่าทันต่อปัญหา และตระหนักว่า ตนเป็นที่พึ่งที่สำคัญยิ่งของตนเอง หรือกระทั่งเรียนรู้ที่เข้าใจว่า ชีวิตล้วนเป็นเรื่องราวของการทำความเข้าใจ ให้ถึงพร้อมปัญญา เข้าใจสติ เรียนรู้มายาของโลกและของตนเอง

 

 

 

ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้หรอกหรือ ที่เราอยากเห็น

จากผู้คน และ คนไทยที่อ่าน

หนังสือพิมพ์

 

เอาอีกสักทีดีไหมครับ สำหรับสิ่งที่เราพูดกันมาเยอะแล้ว ว่าอยากให้คนในชาติ คนในบ้านเมืองของเรา คนในสังคมไทย เรียนรู้ที่จะพูดคุยถกเถียง ใช้เหตุผล ใช้ปัญญา ในการสื่อสารหารือ ในการโต้เถียง ขบคิดและตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ใช้เพียงอารมณ์ ความหลงรัก ความบูชา จนครอบงำปัญญาความรู้ ในการพูดคุย

ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้หรือ

ที่เรากำลังสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น

หรือตั้งความหวังให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

 

เพราะที่ผ่านมา เราถูกหลอก ถูกทำให้เชื่อ ด้วยแนวคิดที่ไม่ควรเถียง ไม่ควรตั้งคำถาม หากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ จนทำให้เราต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งแดงแบ่งเหลือง แบ่งอารมณ์ความรู้สึก ว่าใครดีเลวกว่ากัน แทนที่จะนั่งลงถกเถียงด้วยเหตุด้วยผล และด้วยประจักษ์พยาน

เพราะเหตุที่เราผ่านวิกฤติ

เราจึงอยากก้าวพ้น

ด้วยปัญญา

 

ไม่ใช่ด้วยความงมงาย ที่นำพาชาติให้พ้นจากภัยแห่งความไม่รู้ เพราะเรารู้ว่า งูเผือก ปลาไหลเผือก และสัตว์เผือกมากมาย หัวปลีทรงคล้ายพญานาค หรือพืชพันธุ์ประดามีในบ้านเรา ล้วนมีโอกาสที่ผิดแผกแตกเหล่า ออกรูปออกทรง ได้คล้ายกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทบทั้งสิ้น

เพราะสิ่งใดก็ตาม

ล้วนเกิดขึ้นได้เสมอ

ในท่ามกลางความไม่รู้ของเรา

 

สำหรับความจริง ที่สื่อสารมวลชน ควรทำหน้าที่ให้มากกว่าตีปี๊บ ตีข่าวขายไข่ ปั้นข่าวเต้าข่าว กระทั่งเอาคำร่ำลือ จนขายเป็นข่าว ขายหน้ากระดาษเปื้อนหมึก เพียงให้ผู้คนในบ้านเมืองงมงาย จะเอากันเท่านี้หรือครับ สำหรับสิ่งที่เรียกกันว่า วิชาชีพ และ ความเป็นมืออาชีพ

ตามสะดวกเลยครับ หากจะใช้ตรรกะ

แบบเขาเล่ากันว่า ชาวบ้านเล่าว่า

หรือบ้านโน้นร่ำลือว่า

 

สำหรับการเขียนข่าวประมาณว่า แบบนั้นแบบนี้ โอ้ย อู้ย อิทธิปาฎิหาริย์จนพาลจะลมใส่ เอาให้เต็มที่เลยครับ สำหรับการเป่าข่าว เพื่อให้ผู้คนตกใจเล่น วิตกจริตสติแตก จนอาจเที่ยวไล่ยิงนกแสกที่บังเอิญหาทิศหาทางกลับรังไม่ถูก จนต้องส่งเสียงร้อง เพียงหาเสียงตอบรับจากเพื่อนพ้อง

ยิงทิ้งเลยครับ

หากคิดว่าใช้ปัญญาดีพอ

หรือหากเชื่อข้อมูลความรู้จากข่าวหน้าหนึ่ง

 

ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่า สังคมไทยจะเป็นเช่นไร และจะก้าวไปสู่อนาคตเยี่ยงไร หากคนทำงานเขียน ทำงานข่าว และทำงานสื่อสารมวลชน ยังก้าวไม่พ้นวังวน และมายาคติที่ครอบงำใจ ให้คิดจะเสนอข่าว เสมือนหนึ่งให้ขจัดเผ่าพันธุ์นกแสกไปจากแผ่นดินไทย ก็เชิญตามสะดวกครับ

อ้อ ลืมบอกไปครับ สำหรับประสบการณ์ส่วนตัว

นกแสกเคยเกาะบ้าน เกาะเต็นท์ที่เคยนอน

ก่อนที่ผมจะรู้ว่า ผมยังไม่ตาย

เพราะแค่เสียงของนกแสก ที่เกาะอยู่บนหัว

 

 

หมายเลขบันทึก: 297755เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2009 11:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 09:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท