ธรรมฐิต
พระ(มหา) วิชิต ชิต สมถวิล(ฐิตธมฺโม)

ฤาว่าเราจะเป็นดั่งหมาคาบเนื้อข้ามสะพาน


       วันนี้สดชื่นแจ่มใสตามปกติธรรมดาเหมือนทุกวัน  ถึงแม้ว่าสังคมจะตื่นตาตื่นใจกับเวลา  ๙.๐๙ น.ของวันที่ ๙ เดือน ๙  ปี๒๐๐๙ ก็ตามทีหากว่าเรื่องที่คิด  กิจที่ทำ  ถ้อยคำที่พูด  ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่นก็ถือว่าไม่เสียที่มีชีวิตอยู่  วันนี้เห็นสุนัขมันแย่งอาหารกันเลยนึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาจึงมาบันทึกว่า  ณ  ที่นี้...

เราคงจำนิทานอีสปตอนสมัยเด็กๆเรื่องนี้ได้ คือ

       มีหมาตัวหนึ่งหิวโซและโลภมากเดินก้มหน้าก้มตา แล้วพลันมันก็ได้สัมผัสเข้ากับกลิ่นที่หอมหวนชวนกินยิ่งนัก และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมามองมันก็ได้แลเห็นหมาตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งกำลังคาบชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ที่ตรงข้างหน้าของมัน   และด้วยความที่มันเป็นหมาเกเรและโลภเป็นอย่างมากมันจึงเห่ากรรโชกขึ้นด้วยเสียงอันดังก่อน  แล้วเข้าไปแย่งเอาชิ้นเนื้อชิ้นนั้นมาเป็นเจ้าของ และด้วยหมา น้อยตัวนั้นเป็นหมาตัวที่เล็กมากอย่างที่ว่านั่นเอง มันจึงปล่อยชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นนั้นให้หลุดออกจากปาก อย่างช่วยอะไรไม่ได้ด้วยความกลัวอย่างที่สุด แล้วออกวิ่งโกยอ้าวจนสุดฝีเท้าหนีไปจากที่ตรงนั้นใน ทันทีทันใด.
   แล้วเจ้าหมาโลภหิวโซก็ตรงเข้าไปหมายจะงับชิ้นเนื้อชิ้นนั้นกินให้หายหิวเพื่อแก้กระหายทันที แต่ขณะที่กำลังงับชิ้นเนื้อชิ้นนั้นอยู่ในปากมันก็กลับคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อตะกี้อ้ายหมาตัวนั้นมันตัวเล็กแค่นิดเดียวข้าถึงได้แย่งชิ้นเนื้อมาจากมันได้นี่ แต่ถ้าเกิดมีหมาตัวอื่นที่ตัวใหญ่กว่าข้าผ่านมาทางนี้แล้ว  บางทีข้าก็อาจที่จะโดนมันแย่งเอาเนื้อชิ้นนี้ไปได้อยู่เหมือนกัน   เมื่อมันเดินคาบชิ้นเนื้อมาถึงที่ริมธารน้ำแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินอยู่บนสะพานข้ามธารน้ำสายนั้น มันได้เหลือบมองลงไปในน้ำ แล้วแลเห็นสุนัขอีกตัวหนึ่งกำลังคาบเนื้ออยู่ในปากเหมือนกันกับมันเข้า แต่มันหารู้และไม่ทันนึกว่าสุนัขตัวนั้นตัวที่มันได้เห็นอยู่ในน้ำนั้นก็คือเงาสะท้อนของมันนั่นเอง
เจ้าสุนัขตัวนั้นมันคาบชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่ มันใหญ่กว่าของข้ามากเลยเสียด้วยสิ มันรำพึง  แล้วเกิดความโลภขึ้นมาอย่างมากจนสุดที่จะทานทนไหวเสียแล้ว  มันคิดว่าข้าจะกระโดดลงไปในน้ำ แล้วแย่งชิ้นเนื้อ ชิ้นใหญ่ ชิ้นนั้นมาให้ได้” และตามนิสัยเลว ๆ เกเรของมัน ก่อนที่มันจะกระโดดลงไปแย่งชิ้นเนื้อกับเงาของมันเองในน้ำอย่างที่มันคิดโลภไว้นั้น มันก็ได้เห่ากรรโชกออกมาเป็นการขู่ก่อนอื่นใดเลยตามนิสัยของมันนั่นแหละ  แน่นอนมันย่อมหมดหวังที่จะได้ชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่ชิ้นนั้น และซ้ำร้ายชิ้นเนื้อที่มันคาบมาด้วยนั้นก็ยังตกลงไปในน้ำและจมลงสู่ก้นธารน้ำอย่างน่าเสียดายเสียแล้ว.... มันตกใจมากตอนที่ชิ้นเนื้อของมันมีอันต้องหลุดออกจากปากและตกลงไป แล้วตอนนั้นเมื่อมันรีบมองลงไปในน้ำมันก็ได้เห็นหมาหน้าโง่ตัวเดิมตัวเก่ามองมันอยู่ แต่หมาตัวนั้นไม่ได้มีชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ในปากเหมือนกันกับมันเสียแล้ว มันต้องสูญเสียชิ้นเนื้อที่มันคาบมาอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างมาก มันจึงไม่เหลืออะไรให้กินในที่สุดก็ต้องเดินโซซัดโซเซเรื่อยไปไร้จุดหมายต่อไป.....

        นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความตะกละหรือความโลภอยากได้ทุกสิ่งที่ตัวเองคิดจะได้  สุดท้ายจึงทำให้หมดสิ้นทุกอย่าง ความโลภจะทำให้สูญเสียในสิ่งที่ตนจะพึงได้และผู้ที่อยากได้ในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับตนก็สมควรแล้วที่จะสูญสิ้นกับสิ่งที่ตนมีอยู่ หรือพูดแบบสำนวนว่า

...โลภมากลาภก็หาย....ทว่าเรารู้เท่าทันอย่างเข้าใจในปัจจุบันกับสิ่งที่ควรมีควรได้สำหรับตน ความสุข ความทุกข์ที่ประสพอยู่เราจะไม่มองข้ามมันแน่นอน ที่สำคัญที่สุด สติ ปัญญาต้องทัน

อย่างคำสอนที่ว่า

 รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ เรียนรู้พระรัตนตรัยอย่างแท้จริง

แล้วน้อมนำปฏิปทาของพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ ใช้พระธรรมเป็นแผนที่

มีพระสงฆ์(ที่แท้จริง)เป็นพี่เลี้ยง....

ชีวิตอาจพบกับสิ่งที่เรากำลังหาอยู่ก็เป็นได้

เพราะต้นตอของความสุขมีอยู่กับตัวเราเอง  ณ ขณะนี้อยู่แล้วเวลา

แต่ทว่าเราต่างหากมิใช่หรือที่มองข้ามมันไป

ไม่รู้จักใช้ชายตามองมัน
ดังนั้นเราลองหันมาใส่ใจกับความสุขจากการ มี

หรือจากสิ่งที่เรา มีอยู่

แล้วพัฒนาการใส่ใจความสุขจากการ ให้ เมื่อยิ่งให้(อย่างแท้จริง)

เราก็จะดื่มด่ำกับความสุข(ที่แท้จริง) จะให้คำพูดที่ดีต่อกัน

หรือให้อารมณ์ที่ดีต่อกัน หลังจากจุดนั้น

เราก็อาจจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี

นั่นคือความสุขจากการปล่อยวาง

ไม่ยึดติดในสิ่งที่ตนมีแบบตัวกูของกู

และเพราะเหตุดังนี้นั่นแหละ แม้เราจะไม่มีหรือสูญเสียบางอย่างไป

ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เป็นมนุษย์กับเขาทั้งทีเรา

 ก็น่าจะได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี

เพราะมันเป็นความสุขที่สงบเย็นคงทนถาวรอย่างแท้จริง

ธรรมะสวัสดีขอรับ..

คำสำคัญ (Tags): #ธรรมฐิต
หมายเลขบันทึก: 295973เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2009 19:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

กราบนมัสการค่ะ....

วันนี้คุณแม่โทรมาอวยพร บอกว่าวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 เป็นวันมงคล...พนมมือรับพรคุณแม่แต่ในใจคิดว่า ไม่ว่าจะวันไหนก็เป็นมงคลทั้งนั้น เพราะมงคลไม่ได้ขึ้นกับเลขวันหากแต่ขึ้นกับการความคิด วาจาและการกระทำของเรามากกว่า (แต่ก็ไม่ได้พูดขัดคุณแม่หรอกนะคะ)

น้อมรับข้อธรรมะสวัสดีไปปฏิบัติค่ะ

ถูกต้องแล้ว  blue star  ดีชั่วอยู่ที่ใจ

สาธุขอรับ..

นมัสการพระอาจารย์ครับ

แวะมารับธรรมะครับ

ขออนุโมทนาขอรับท่านหนาน...

นมัสการค่ะ ความสุขของการให้จริงๆ ย่อมสุขใจ

ความสุขมีอยู่รายรอบตัวเรา ค้นหาให้เจอ สุขเป็นก็เป็นสุข

 

อ่านนิทานแล้ว ฉุกคิดได้เลยครับมหา คนละเรื่องเดียวกันนะครับ

ความจริงคนเราไม่เคยเห็นหน้าตาตัวเองเลยจริง ๆ ว่าเป็นยังไง

เราอาศัยแสงกระทบกับใบหน้าของเรา ไปกระทบกับพื้นผิวของกระจก

แล้วสะท้อนกลับเข้ามาที่นัยตาของเรา จากนั้นระบบประสาทก็ส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง

ให้สมองแปลสัญญาณว่าสิ่งที่เข้ามาคือภาพของอะไร มี รูป สี สัณฐานยังไง

เราจึงเกิด "สัญญา" ว่านี่ คือ หน้าตาของเรา อ้วน ผอม ขาว ดำ สวย หล่อ ขี้แหล่

แล้วเราก็พยายามรักษาให้มันคงอยู่กับเราแบบที่คิดว่าจะให้มันสวยงามกับเราไปตลอด

บางคนถึงขนาดไปทำศัลยกรรม (กรรมจริง ๆ) บางคนหาเครื่องสำอางมาใช้

เพื่อให้สิ่งที่สมองแปลภาพอออกมา อยู่กับตัวเองไปนานที่สุด

ทั้งที่ความจริงเราไม่แม้แต่เคยเห็นใบหน้าจริง ๆ ของเราเลย

ขออนุโมทนา..เจษ..

รู้สึกเจษจะเจออะไรสักอย่างเข้าแล้วนะหลวงว่า..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท