ระหว่างสายน้ำแห่งนี้มีวัดแห่งหนึ่งตั้งโดดเด่นสวยงามตระการตา ชื่อว่า "วัดจุฬามณี" เป็นวัดที่สร้างตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าท้าวแก้วผลึก (น้อย) นายตลาดบางช้าง ต้นราชสกุลบางช้างเป็นผู้สร้างขึ้น บริเวณหลังวัดเดิมเป็นนิวาสสถานของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ และสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 อุโบสถวัดจุฬามณีเดิมสร้างจากไม้สักและไม้เนื้อแข็ง จนถึง พศ. 2511 พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง โกวิโท) ได้เริ่มสร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ทรุดโทรม หลังจากหลวงพ่อเนื่องมรณภาพ ในปีพศ. 2530 พระครูโสถิตวิริยากรณ์ (อิฏฐ ภททฺจาโร) ศิษย์เอกของหลวงพ่อเนื่องได้ดำเนินการสืบต่อจนแล้วเสร็จเป็นอุโบสถจตุรมุขหินอ่อน ปูพื้นหินหยกเขียวจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ภายในประดิษฐานพระประธานบนฐานสูง ประดับประดาด้วยโคมไฟสวยงาม บนหน้าต่างด้านนอกลงรักฝังมุกเป็นภาพตราพระราชลัญจกร ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบัน บานหน้าต่างด้านในแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดก บริเวณผนังโดยรอบพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ และนิทานชาดก
ออกจากวัดจุฬามณีแล้ว เรือก็พาแล่นไปด้วยความเร็วพอประมาณสู่ผืนน้ำแม่กลอง กระแสลมเริ่มแรง ท่ามกลางความมืดมิด ประกอบกลิ่นไอของสายน้ำทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งเรือเลียบเข้าคลอง ผ่านชุมชน วัด บ้านเรือน และต้นลำพู เครื่องยนต์ก็ดับลง เบื้องหน้าที่เห็นคือ แสงระยิบระยับของหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวกำลังทอแสงอยู่บนต้นไม้ราวกับแสงไฟประดับต้นคริสต์มาสอย่างไรอย่างนั้น
จนแล้วจนเล่าทุกต้นลำพูจะปรากฎแสงระยิบระยับของหิ่งห้อยเช่นนี้ ช่างสวยงามโดยไม่ต้องแต่งแต้มแม้แต่น้อย เรือแล่นจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ความมืดยิ่งทำให้เห็นความงดงามได้ชัดเจน แสงไฟจากหิ่งห้อยกำลังโต้ตอบแสงดาวบนท้องฟ้า ช่างงดงามยิ่งนัก ผู้คนพากันหลงใหลในความงดงามผสมกลิ่นไอของลำน้ำแม่กลอง หิ่งห้อยเหล่านี้จะวางไข่ที่ต้นลำพู เมื่อสิ้นอายุก็จะพอดีกับลูกที่ฟักออกเป็นตัว ถ้ามีคนไปตัดต้นลำพูวงจรชีวิตของมันก็จะจบลงไปด้วย หิ่งห้อยก็จะน้อยลง ที่อัมพวาถือเป็นแหล่งที่มีหิ่งห้อยมากที่สุดในประเทศไทย เพราะมีทำเลเหมาะสม พวกมันชื่นชอบน้ำกร่อย โดยจะกินน้ำค้างบนยอดต้นลำพูเป็นอาหาร ช่วงที่เป็นตัวหนอนจะกินหอย ส่วนกลางวันจะหลบอยู่ตามพงหญ้าหรือวัชพืชชื้นแฉะกลางคืนจึงจะออกผสมพันธุ์ ตลาดน้ำยามเย็นแห่งนี้ยังพยายามที่จะคงสภาพเดิมไว้ให้มากที่สุด และรบกวนธรรมชาติน้อยที่สุดเนื่องจากที่นี่มีลักษณะทางกายภาพเป็นคูคลอง ขนบประเพณีดั้งเดิมของคนกลุ่มนี้ก็ยังมีความต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นภาพชุมชนไทยโบราณที่ใช้ประโยชน์จากน้ำ วีถีชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนลักษณะนิสัยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
แม้วันนี้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน แต่”ตลาดน้ำอัมพวา”ยังคงยืนหยัดในความเป็นวิถีชุมชนดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือระวังอย่าให้ใครไปทำลายสิ่งแวดล้อม เมือง วิถีชาวบ้าน แถบนี้เลย ให้พวกเขาได้มีโอกาสได้พัฒนาชุมชนแบบยั่งยืน และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับคนทั่วไปได้สัมผัสบรรยากาศที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติในวันหยุดพักผ่อน อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกด้วย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ทรัพยากรธรรมชาติจะเหือดหายไป ตลาดน้ำบางแห่งปิดฉากลงอย่างถาวร แต่วิถีชีวิตติดสายน้ำแห่งนี้จะยังคงมีชีวิตชีวาตลอดไป
นางฟ้าคนสวยชอบไปไหว้พระ 9 วัดที่อัมพวา
วันหลังเขียนแนะนำให้แพรหน่อยนะคะ
วัดไหนน่าไปไหว้พระทำบุญบ้าง
จะได้สวยเหมือนนางฟ้า 555