การวัดผลประเมินผลการเรียนรู้ทางการศึกษาไทย จุดเริ่มต้นของการศึกษาหรือความล้มเหลว
การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้แบบฉบับทางการศึกษาไทย จุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาหรือจุดล้มเหลวทางการเรียนรู้ บทความโดย นายวรุตม์ โคตรคำหาญ บทนำ หากจะกล่าวถึงระบบการศึกษาของไทยนั้นหากย้อนกลับไปในรัฐไทยสมัยก่อนการศึกษาของคนส่วนใหญ่ ศึกษาอยู่ภายในวัดเรียนกับพระและการศึกษาดังกล่าวก็ไม่ได้มีแบบแผนในการจัดทำรายวิชาในกลุ่มสาระต่างๆ ให้มันยุ่งยากเหมือนอย่างเช่นในปัจจุบัน ที่สำคัญการศึกษาอย่างนั้นเป็นการถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรง และเป็นการเรียนรู้ด้วยภูมิปัญญาของผู้คนในท้องถิ่นและชุมชนนั้นๆรวมทั้งยังได้ศึกษาถึงจารีต ขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นตนให้รักษาไว้ การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาดังกล่าวเพื่อให้รัฐไทยเกิดสภาวะความทันสมัย และทำให้ประเทศมีความเจริญให้เท่าทันกับอารยประเทศในทางตะวันตก การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นใน ปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ของ อาณาจักรสยาม หากจะวิเคราะห์ในมุมมองทางการศึกษานั้น การปฏิรูปดังกล่าวต้องการให้การศึกษาเป็นการกระจายความรู้ให้ทั่วถึง เพื่อไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง และเป็นการเรียนรู้ที่ส่วนกลางได้จัดมาให้ศึกษาและเรียนรู้ รวมทั้งมีความเป็นระบบทางการศึกษามากขึ้น อย่างไรก็ดีพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทยดังกล่าวก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนรูปแบบทางการศึกษาอยู่ตลอดเวลาเพื่อต้องการที่จะให้การศึกษาและพัฒนาที่มาจากคนที่ได้รับความรู้และการถ่ายทอดวิทยาการต่างๆ ดังนั้นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญคือการจัดระเบียบทางการศึกษาเพื่อให้สยามดูมีความทันสมัย (Modernization) เพื่อให้ต่างชาติมองว่าสยามได้เปลี่ยนความหล้าหลังดังกล่าวเพื่อให้ประเทศที่ล่าอาณานิคมไม่มารบกวนความมั่นคงของสยามในช่วงนั้น และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของรัฐไทย พัฒนาการทางการศึกษาในระบบรอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงสมัยของกรุงรัตน์โกสินได้ติดต่อการค้ากับชาวต่างชาติที่เข้ามาดำเนินการติดต่อค้าขาย รวมทั้งการได้นำแนวคิดทางศาสนาของทางตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ย่างเช่น สยาม (ประเทศไทย) เป็นต้น การเข้ามาของกลุ่มชาวต่างชาตินั้นได้นำเอาวิทยาการที่ทันสมัยมาด้วย เช่น วิทยาการทางด้านการแพทย์ วิทยาการทางด้านการเมืองการปกครอง และวิทยาการทางด้านการติดต่อค้าขาย ในที่นี้จะได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาครั้งสำคัญกล่าวคือ ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวังใน พ.ศ. ๒๔๑๔ (พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ ร.ศ. , 2536 : 13 – 16) โดยมีจุดประสงค์ให้ลูกหลานเชื้อพระวงศ์และลูกหลานข้าราชการที่รับใช้พระมหากษัตริย์นั้นได้เรียนรู้และให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อที่พอจะได้รับราชการได้ และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้การศึกษาเป็น “รูปแบบนัย” (Formal Education) โดยทรงให้จัดทำหนังสือแบบเรียนหลวง รวมถึงมีการ “สอบไล่”หรือการวัดผลประเมินผล ขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นพัฒนาการทางการศึกษาของไทยได้เริ่มนำหลักการของการศึกษาตามแบบตะวันตก เข้ามาจัดการเรียนการสอนในสยาม โดยในช่วง รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๖ ได้ทรงประกาศตั้ง “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๔๕๙ โดยขึ้นกับกระทรวงธรรมาการ ในปีแรกมี ๔ คณะคือ คณะแพทย์ศาสตร์ คณะรัฐประศาสนาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ ร.ศ. , ๒๕๓๖ : ๑๘) ในปลายรัชกาลที่ ๖ ทรงให้กระทรวงธรรมาการโอนเข้าสังกัดกระทรวงศึกษาธิการตามเดิม ในปี ๒๔๖๙ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อรัชกาลที่ ๗ ขึ้นครองราชย์ก็ได้ดำเนินการให้ความสำคัญในการศึกษา แต่ที่ปัญหาที่ประสบในช่วงเวลานั้นคือ ปัญหาภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศตกต่ำขั้นสูงสุด ในที่สุด ปี ๒๔๗๕ ได้เกิดการปฏิวัติ (Revolution) ของคณะราษฎร์ การศึกษาภายใต้การปกครองของคณะราษฎร์ ภายหลังการยึดอำนาจของคณะราษฎร์ได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คณะราษฎร์ได้จัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติโดยประกาศใช้แผนอยู่ ๒ ฉบับ คือ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๗๕ และ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙ รวมถึงการขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่ประชาชนโดยเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ขึ้นในปี ๒๔๗๖ ดังนั้นการศึกษาของคณะราษฎร์ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก ดึงที่จะสอดคล้องการคำประกาศคณะราษฎร์ ในข้อที่ ๖ โดยมีใจความว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร์” (สุขุม นวลสกุล , ๒๕๓๕ : ๗๔) ดังจะเห็นได้ว่านโยบายในช่วงที่คณะราษฎร์ได้ทำการปกครองประเทศนั้น มีการประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษาทั่วราชอาณาจักร จึงทำให้มีโรงเรียนที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยขยายไปทั่วทุกตำบล รวมถึงมีการปรับปรุงหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ในปี ๒๔๘๐ รวมทั้งมีการจัดตั้งโรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมขึ้น ๒ แห่งที่จังหวัด นครราชสีมา และ สงขลา โดยคณะราษฎร์มีความต้องการที่จะให้การศึกษานั่นเป็นตัวช่วยสร้างให้สังคมในช่วงระยะเวลานั้นให้มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย รวมถึงการที่เปิดโอกาสให้คนในชนบทได้มีโอกาสทางการศึกษา อีกทั้งเป็นการเร่งสร้างงานให้กับคนในช่วงนั้น อีกทั้งศึกษาได้เข้าสู่ระบบสากลดังที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้กล่าวไว้ถึงสิทธิทางการศึกษา เมื่อ พันเอกพระยาพระหนพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๗๙ โดยมีความมุ่งหมายว่า “ให้พลเมืองทุกคนได้รับการศึกษาเพื่อจะได้ทำหน้าที่พลเมืองตามระบอบรัฐธรรมนูญได้เต็มที่” การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้นำพาการศึกษาเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ ๑. เปลี่ยนแปลงชั้นเรียนสายสามัญศึกษา ให้มัธยมศึกษาจบเพียงมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แทนที่จะจบการศึกษาในมัธยมศึกษาปีที่ ๘ รวมทั้งจัดให้ผู้ที่ประสงค์จะเรียนในระดับอุดมศึกษาให้มีชั้นเตรียมอุดมศึกษา ขึ้นด้วย ๒. จัดให้การศึกษาในระดับอาชีวศึกษาไว้สำหรับนักเรียนที่จบมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาไว้ด้วย อย่างไรก็ดีเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยมีความมุ่งหมายว่า “รัฐมีความมุ่งหมายให้พลเมืองได้รับการศึกษาพอเหมาะแก่อัตภาพ” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการศึกษาในช่วงดังกล่าวได้กำหนดให้ระดับการศึกษามีการจัดการควบคุมให้เป็นระบบมากขึ้น กล่าวคือมีการแบ่งระดับการศึกษาออกเป็น ๕ ระดับดังนี้ ๑. การศึกษาขั้นอนุบาล ๒. ประถมศึกษา ๓. มัธยมศึกษา ๔. เตรียมอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาขั้นสูง และ ๕. อุดมศึกษา รวมทั้งได้จัดการศึกษาพิเศษเพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาไปแล้ว และผู้ที่ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาในระบบและอยู่ในช่วงวัยเรียน ได้เรียนรู้อย่างเป็นครั้งคราว หรือเรียกอีกอย่างว่า “การศึกษาผู้ใหญ่” โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและทั่วถึง อีกทั้งยังต้องการให้ประชาชนได้อ่านออกเขียนได้ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขั้นตามอัตภาพังที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น พัฒนาการทางการศึกษาในช่วงสงคามเย็น ต่อมาช่วงสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการบริหารประทศ การเมืองการปกครอง รวมถึง การศึกษา ในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาดังกล่าว เพื่อที่ให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔ ซึ่งในระยะแรกได้ใช้เค้าโครงการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นแบบ โดยเปลี่ยนนี้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษา ซึ่งมีใจความสำคัญซึ่งผู้เขียนจะขออธิบายเป็นประเด็นดังนี้ ประการที่ ๑ รัฐมีความมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนในรัฐได้รับการศึกษาที่สมควรแก่สติปัญญาของผู้เรียน ความยากจนจะไม่เป็นอุปสรรคในการศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษาเป็นหน้าที่ของรัฐ เพื่อที่จะให้ประชาชนให้มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ประการที่ ๒ การศึกษาต้องตอบสนองบริบททางสังคม เพื่อที่จะได้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และการปกครองของประเทศในช่วงระยะนั้น ประการที่ ๓ การศึกษาภาคบังคับจากเดิม ๔ ปี เป็น ๗ ปี ตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๓) ซึ่งให้เหตุผลว่า การศึกษาในระดับประถมไม่เพียงพอต่อการพัฒนาคน (Human Development) กำหนดให้เด็กได้รับการศึกษาอย่างน้อยให้มีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ แต่ที่สำคัญการขยายการศึกษาภาคบังคับดังกล่าวกลับมิได้บังคับให้ทุกท้องที่ยึดถือปฏิบัติตาม ประการที่ ๔ ขยายการศึกษาในระดับอาชีวศึกษาให้กว้างขึ้น เพื่อที่ตอบสนองความต้องการของกำลังคนในสายอาชีพเพื่อเป็นการสร้างคนระดับสายอาชีพเพื่อพัฒนาประเทศ ประการที่ ๕ ขยายโอกาสการศึกษาในระดับอุดมศึกษาตามส่วนภูมิภาค โดยได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเปิดดำเนินการใน พ.ศ. ๒๕๐๗ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้ว่าในการพัฒนาประเทศนั้นสิ่งที่สำคัญที่ควบคู่กันไปนั่นก็คือการพัฒนาการศึกษาเพื่อที่จะสร้างให้ประชาชนได้เข้าใจถึงบทบาทของตนและบทบาทของผู้ปกครองที่ต้องการความมุ่งหมายเดียวกัน กล่าวคือผู้ปกครองต้องการให้ประชาชนได้มีความกินดีอยู่ดี เช่นกันประชาชนต้องได้รับความรู้เพื่อจะสามารถพัฒนาประเทศได้ไปในแนวทางเดียวกัน อย่างไรก็ดีหลักการในการพัฒนาการศึกษาก็ได้ถูกบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาจนถึงฉบับปัจจุบันที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง (Human Center) ที่สำคัญการให้ความสำคัญแก่การศึกษาได้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่นในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่มีบทบัญญัติให้จัดทำกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ เพื่อเป็นกฎหมายที่รับรองการปฏิรูปการศึกษา ทั้งในด้านการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารการศึกษา การปรับปรุงกระบวนการจัดการศึกษา และมาตรการในการประกันคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งนำพาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษามาก็เป็นได้ สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นนั้นคือ การองค์กรใหม่ทางการศึกษา คือสำนักงานปฏิรูปการศึกษา สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ที่มีผลทำให้การบริหารการศึกษามีความคล่องตัวและมีอิสระ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเรียนการสอนที่เดิมจากครูเป็นศูนย์กลางเป็นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (สมหมาย จันทร์เรือง , ๒๕๔๔ : ๖ - ๗) ที่สำคัญในการจะทำให้การศึกษาในแต่ละสถาบันไปถึงจุดหมายความตองการนั้น คือการวัดและประเมินผลทางการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าจะมีความเบี่ยงเบนทางการศึกษาในสู่แนวทางใดและสอดคล้องกับความต้องการของสถานศึกษารวมไปถึงระดับกระทรวง การวัดผลประเมินผลทางการศึกษาหากจะมองในภาพหยาบๆนั้นอาจจะหมายความเองว่าเป็นการวัดความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนที่เรียนมา ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษาจนถึงปิดภาคเรียนว่าผู้เรียนมีความเข้าใจเท่าใด หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในการวัดผลประเมินผลนั้นเป็นสิงที่ไม่ใช่เพียงแค่การวัดความรู้ความเขาใจเท่านั้น หากเป็นการวัดองค์ประกอบต่างๆทางการศึกษาที่ต้องสอดคล้องกันไปเป็นแนวระนาบ การวัดผลประเมินผลทางการศึกษาไทยนั้น หากจะกล่าวถึงผลเสียที่ผู้เขียนเองได้ประสบมาทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมจะได้บรรยายเป็นประเด็นดังนั้น ข้อเสียการวัดผลประเมินผลทางการศึกษา ประการที่หนึ่ง การวัดผลประเมินผลทางการศึกษาไทย ใช้รูปแบบที่อ้างอิงมาจากต่างประเทศโดยการนำมาสังเคราะห์จากนักวิชาการที่มากเกินไปทำให้ เกณฑ์การประเมินออกมาในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับท้องถิ่นและภูมิภาคต่างๆ ของไทย ที่สำคัญการออกแบบการวัดผลประเมินผลนั้นไม่ได้คำนึงถึงผู้ปฎิบัติ ทำให้ความเข้าใจและความคาดเคลื่อนของการวัดผลประเมินผลสูง ประการที่สอง ลักษณะการวัดผลประเมินผลเป็นการข่มใจผู้เรียนและผู้สอนเป็นอย่างมาก เพราะว่าการข่มใจผู้เรียนหมายถึงการที่ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินผลต่างๆมากมายในระบบการศึกษาทำให้ผู้เรียนที่ค่อนข้างเรียนได้ช้าและเรียนไม่ทันเพื่อนรู้สึกเบื่อหน่ายกับระบบการเรียน รวมถึงผู้สอนก็ต้องข่มใจสอนเพราะหากว่านักเรียนไม่สามารถทำตามผลกำหนดขั้นต่ำได้จะทำให้ผู้สอนเองต้องถูกพิจารณาจากผู้บริหาร จึงส่งผลให้เกิดการเรียนที่เรียกว่า “เก็ง” ทั้งในการสอนและการเรียน ประการที่สาม การวัดผลประเมินผลที่ออกมาแต่ละสถานศึกษา สำนักงานที่รับผิดชอบจากส่วนกลางไม่ให้ความไว้วางใจจากสถานศึกษาที่อยู่ตามภูมิภาค โดยส่วนใหญ่จะให้ความไว้วางใจจากสถานศึกษาที่อยู่ในส่วนกลางและจังหวัดใกล้เคียง ประการที่สี่ หลักสูตรที่นำมาประเมินการเรียนการสอนดังกล่าวไม่ได้สอดคล้องกับภูมิภาคอย่างที่เป็น เช่น หากมีคำถามที่ถามผู้เรียนที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ว่า “ให้นักเรียนอธิบายลักษณะแม่น้ำเจ้าพระยาว่าเป็นอย่างไร” แน่นอนว่าผู้เรียนคงมึนงงกับคำถามเหล่านี้และผลที่ปรากฏออกมาในการวัดผลประเมินผลก็ไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นในการสร้างหลักสูตรต่างๆต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และความสำคัญทางภูมิภาคด้วย ถึงแม้ว่าในหลักสูตรแกนกลางจะได้ระบุไว้ว่าต้องนำความรู้ของท้องถิ่นมาบูรณาการในการจัดทำหลักสูตร แต่หากว่าสิ่งที่วาดไว้ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ปรากฏเห็นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างเด่นชัด และนี้เป็นเพียงข้อเสียบ้างประการที่ผู้เขียนได้ระบุเป็นประเด็น ในการวัดผลประเมินผลทางการศึกษาที่ลงทุนในการปฏิรูปในแต่ละครั้งก็นับว่าเป็นงบประมาณที่มากโข และผลที่ปรากฏออกมาทำให้ค่าเบี่ยงเบนทางการศึกษากลับแย่ไปกว่าเดิม จึงมีคำถามในใจหลายคำถามว่าจะพัฒนาการวัดผลประเมินผลทางการศึกษาอย่างไร การปรับปรุงการวัดผลประเมินผลทางการศึกษา ในที่นี้ผู้เขียนจะนำเสนอการปรับปรุงแนวทางในการวัดผลประเมินทางการศึกษาพอเป็นแนวทางโดยสังเขป ประการแรก ต้องให้ความรู้สำหรับผู้มีสอนเกี่ยวข้องในการวัดผลประเมินผลทางการศึกษา เช่น หัวหน้าสำนักงานเขตต่างๆ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคคลากรที่เกี่ยวข้องทางการศึกษาเพื่อให้มีความรู้พื้นฐานที่เข้าใจและสามารถนำไปปรับใช้ให้หน่วยงานของตนดำเนินการได้อย่างคล่องตัว และไม่จำเป็นต้องยึดถือหลักการจากส่วนกลาง เพราะส่วนการก็ไม่เข้าใจส่วนภูมิภาค ดังนั้นเพื่อให้ความเสมอภาคทางการศึกษาตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นส่วนภูมิภาคเองต้องจัดทำ มาตรฐานการวัดผลประเมินผลทางการศึกษาของตนจึงจะสามารถวัดความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนได้ดี ประการที่สอง ลดขั้นตอนในการวัดผลประเมินที่ยาวนานและใช้ทรัพยากรมาก (กระดาษ) ในการวัดผลประเมินผล ที่สำคัญการวัดผลประเมินผลการศึกษาดังกล่าวต้องให้ผู้สอนมาเป็นผู้กำหนดเอง ทั้งนี้ไม่ต้องนำเอาผู้ที่ได้วิทยฐานชำนาญการมาเป็นผู้กำหนด เพราะผู้ที่ได้วิทยาเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นตัวแทนของผู้สอนทั้งหมด และผู้ที่ได้วิทยฐานะเหล่านั้นอาจคิดไม่เท่าทันกับครูที่สอน โดยระบบการจัดการศึกษานี้ได้วางระบบให้สำนักเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขตไว้แล้วต้องนำองค์กรเหล่านี้มาช่วยในการพัฒนาการศึกษา ไม่ใช่ว่าตั้งสำนักงานเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นตัวประสานจากส่วนกลางและเป็นสำนักงานเอกสาร ต้องเพิ่มบทบาทและภาระหน้าที่เข้าไป ประการที่สาม กำหนดหลักสูตรที่มาจากท้องถิ่นเป็นหลักสูตรแกนด้วย เพราะจะได้ให้หลักสูตรลูกที่ออกไปได้มีเค้าโครงความรู้จากท้องถิ่น และถ้าหากเป็นไปได้ต้องนำผลงานทางวิชาการที่ผู้สอนได้เสนอทำวิทยฐานะ มาใช้ในสถานศึกษานั้นๆ เพราะหากไม่มีการนำ นวัตกรรมทางศึกษา และผลงานทางวิชาการเหล่านั้นมาใช้สอนอย่างเป็นรูปธรรมก็คงไม่มีความหมายอะไรเลย ในการพัฒนาการเรียนการสอนในสถานศึกษา และตัวบ่งชี้ที่ทำวิทยฐานะได้ ประการที่สี่ ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการวัดผลประเมินผลทางการศึกษาจากส่วนต่างๆ โดยเฉพาะส่วนกลาง ต้องเข้าใจส่วนภูมิภาคที่ไม่มีความพร้อมบางอย่างและสิ่งที่ได้รับมาจากส่วนกลางนั้น ไม่ได้รับเท่ากัน เช่น อุปกรณ์ในการเรียนการสอน ห้องปฏิบัติการต่างๆ รวมถึงงบประมาณที่หั่นแล้วหั่นอีกจาก ส่วนกลาง และยังมาหั่นอีกในเขตพื้นที่การศึกษา รวมถึงต้องเข้าใจถึงบุคคลากรทางการศึกษาที่บางท่านบางคนยังเป็นผู้สอนรุ่นเก่า ทั้งนี้ไม่ได้ดูถูกความรู้ความสามารถของท่านเหล่านั้นหากจะเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำไปว่าท่านเหล่านี้ยังอยู่ในวงการทางการศึกษา จะต้องนำบุคคลากรเหล่านั้นมาให้คำแนะนำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ว่าการวางแผนในการวัดผลประเมินผลเหล่านี้ที่สร้างมาในความรู้สึกของท่านเหล่านั้นเห็นว่า จะเป็นผลดีต่อผู้เรียนหรือไม่ รวมทั้งต้องเลิกหยุดกดขี่ครูผู้สอนด้วยการนำเอาวิทยฐานะมาเป็นตัวล่อเพื่อให้ครูได้ทำผลงาน และครูต้องทิ้งงานไป สิ่งเหล่านี้เป็นความล้มเหลวทางการศึกษาของไทย แน่นอนว่าการที่จะพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ต้องใช้ความอดทนและระยะเวลาที่ยาวนาน รวมถึง การวัดความรู้ของคนไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขอยู่ ๔ – ๕ ตัว และมาสรุปว่า “คุณเป็นคนที่ไม่มีคุณภาพ” การจะวัดความรู้คนที่ได้ดีที่สุดนั้นคือ บุคคลนั้นที่จบจากสถานศึกษาต่างๆเมื่อจบออกไปแล้วต้องไม่เป็นภาระของสังคม และไม่ทำให้สังคมเสื่อมเสีย และพร้อมที่จะเป็นคนที่จะพัฒนาประเทศต่อไป นั้นคือสิ่งที่สูงสุดของการวัดผลประเมินผลทางการศึกษา
ที่มา http://www.board.kswd.org/bbs/viewthread.php?tid=271
การเรียนการสอนในปัจจุบันเป็นการวัดที่ตัดสินคนที่ภายนอกมากเกินไป...ถ้าเราคิดว่านักเรียนที่ได้เกรด 4 วิชาคณิตศาสตร์และนักเรียนที่ได้เกรด 4 คนเราว่าคนไหนที่เรียนเก่งกว่ากัน
แน่นอนเราต้องตอบว่านักเรียนทีเรียนคณิตศาสตร์เป็นเด็กที่เรียนเก่งกว่า ถ้าถามว่าเด็กคนไหนที่มีจิตนาการที่ดี มองโลกในแง่ดี ผมอยากจะเล่าเรื่องที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษาของไทย.....เด็กที่ครูว่าเรียนแย่เป็นเด็กที่โง่เพราะเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาหลักไม่ได้แล้ววันหนึ่งเด็กคนนี้ได้กลายเป็นผู้ออกแบบศาลหลักเมืองของจังหวัดสุรินทร์ทุกวันนี้ทั้งครูและนักเรียนที่เรียนวิชาได้เกรด 4 คณิต ต่างมากราบไหว้ศาลหลักเมืองคนที่ครูว่าเขาเป็นคนโง่ คนที่ไม่ฉลาด..คิดในทางกลับกันว่าเรื่องนี้ถ้านักเรียนคนนี้คิดแก้แค้นครูผมคิดว่าเป็นการแก้แค้นทีแยบยลมกาที่เดียว...เวลามองคนให้มองหลายด้าน อย่างมองเขาด้านเดียวแล้วเราจะประเมินผิด
|