วันนี้ผู้เขียนพึ่งจะกลับจากงานสวดอภิธรรมของญาติท่านหนึ่ง มีเรื่องราวงดงามที่ชวนให้รู้สึกอิ่มเอิบ ตราตรึงอยู่ในจิตตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
อาโฮมเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ผู้เขียน อายุ 54 ปี ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับซีกขวา ตรวจพบเมื่อ 6 เดือนก่อน ทันทีที่ทราบข่าวผู้เขียนได้ไปเยี่ยมเพื่อจะได้ดูว่าพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ผลเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์(CT-scan) พบว่าอาโฮมมีก้อนขนาดประมาณ 8ซม.ที่ตับ
แพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัดแนะนำให้ผ่าตัดก้อนเนื้อร้ายออก เพราะผลการตรวจยังไม่ลุกลามไปที่ใด
ผู้เขียนเล่าแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ในการดูแลคุณพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็งของท่อนำดี ทันทีที่ทราบว่าพ่อมีก้อนที่ตับ ผู้เขียนรีบพาพ่อไปตรวจ CT-scan ตรวจทางห้องปฏิบัติการณ์ ตรวจการทำงานของตับ(liver function test) การทำงานของไต (BUN, Cr ) ตรวจค่าCa marker ตรวจ CBCเพื่อเตรียมข้อมูลไปปรึกษาอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตับและท่อนำดีที่รพ.ศรีนครินทร์ อาจารย์บอกว่ายังไม่พบการลุกลามไปอวัยวะอื่น หลังจากปรึกษาอาจารย์ที่ศรีนครินทร์ผู้เขียนได้พาพ่อไปตรวจยืนยันการวินิจฉัยที่รพ.ศิริราช ตรวจ MRI ผลการตรวจเหมือนเดิม เราจึงกลับมารักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้บ้านมากกว่า คือที่รพ.ศรีนครินทร์ พ่อได้รับการผ่าตัดรักษา และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแม้จะรู้ว่าไม่หายแต่การผ่าตัดรักษาทำให้พ่อสุขสบายขึ้นมาก ไม่มีอาการปวด ไม่มีอาการตัวเหลือง ไม่มีไข้ ได้ใช้ชีวิตในห้วงเวลาสุดท้ายกับครอบครัวอย่างเป็นสุข พวกเราดูแลพ่ออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และในวาระสุดท้ายพ่อจากพวกเราไปอย่างสงบไม่ทุกข์ทรมาน หลังจากเปิดโอกาสให้เราได้ดูแลอย่างเต็มหน้าที่ของผู้เป็นลูกพ่อเป็นสุขและอารมณ์ดีอยู่เสมอ พูดคุยหยอกล้อกับผู้มาเยี่ยมอยู่เสมอ
อาโฮมและครอบครัวเลือกที่จะไม่ผ่าตัด แต่ใช้วิธีการรักษาโดยธรรมชาติบำบัด กินแต่พืชผักสมุนไพร แต่โรคก็ลุกลามเร็วมาก แนวทางธรรมชาติบำบัดไม่สามารถยับยั้งเจ้ามะเร็งร้ายได้ อาโฮมต้องนอนโรงพยาบาลนานนับเดือนที่ศรีนครินทร์ และขอกลับมาอยู่ที่โรงพยาบาลที่จังหวัดที่เราอยู่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 52 โดยต้องใส่ท่อช่วยหายใจคาไว้ในปากและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาโฮมจึงพูดไม่ได้แต่สื่อสารโดยการเขียน ทุกวันที่อยู่ในโรงพยาบาลอาโฮมวิงวอนขอกลับบ้าน อยากกลับไปเสียชีวิตที่บ้านเพราะอาจันทร์สามีอาโฮมเป็นอัมพาตต้งแต่ส่วนอกลงมา หลังจากประสบอุบัติเหตุเมื่อ 30 ปีก่อน อาจันทร์นอนบนรถเข็นตลอดเวลาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาอาโฮมเป็นคนดูแลอาจันทร์มาตลอด ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลอาโฮมมีสติดีมากเพียงแต่ ปอดเสียหน้าที่ ทำให้ ระบบหายใจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แม้ว่าอาโฮมจะมีลูกสาวเป็นพยาบาลถึง 2 คน ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ในวันที่อาโฮมตัดสินใจขอกลับบ้านและใครๆก็ต้องยอมแพ้ต่อความตั้งใจของอาโฮม ผู้เขียนตัดสินใจลางานและไปรับอาโอมกลับบ้านกับลูกๆของอาโฮมด้วย ปอดอาโฮมไม่ดีหมอพยายามที่จะหยุดการช่วยหายใจด้วยเครื่องหลายครั้งแต่ไม่สามารถทำได้ อาโฮมกลับบ้านโดยมีท่อช่วยหายใจกลับด้วย ลูกๆต้องช่วยกับบีบเครื่องช่วยหายใจด้วยมือและต่อกับท่อออกซิเจนซึ่งเพียงพอที่ทำให้อาโฮมยังขยับตัว พลิกตะแคงตัวได้เองลูกๆอาโฮมทุกคนยินดีสับเปลี่ยนกันบีบช่วยหายใจอย่างไม่รู้เหนื่อย แต่อาโฮมผู้เด็ดเดี่ยวพยายามบอกให้ช่วยเอาท่อช่วยหายใจออกให้ด้วยการเขียน
ผู้เขียนจึงนำบทเทศนาธรรมของพระอาจารย์ชาญชัย มาเล่าเพื่อชักนำจิตใจของอาโฮมให้สงบและปิติกับกุศลกรรมอันเคยปฏิบัติมาตลอดชีวิตเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงในการก้าวสู่ภพภูมิที่ดีกว่า การเตรียมตัวออกเดินทางต่อของจิต เนื่องจากร่างกายอันเป็นที่อยู่ของจิตนั้นเสื่อมสภาพไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีก ต้องทำสมาธิกำหนดจิตให้ระลึกถึงพระพุทธศาสนาอันเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ อาโฮมขอกระดาษมาเขียนคำว่า ตาย พุทโธ ผู้เขียนจึงให้ลูกสาวอาโฮมค่อยๆถอดท่อช่วยหายใจออก หลังถอด อาโฮมยอมให้ออกซิเจนทางหน้ากากชั่วครู่ และก็ปฏิเสธอีก ลูกสาวอาโอมสวดมนต์เบาๆ และผู้เขียนจัดท่านอนที่คิดว่าอาโอมจะสบายผ่อนคลายมือทั้งสองข้างวางข้างลำตัวในท่าโยคะที่เรียกว่าท่าศพ ท่องพุทโธ พุทโธ แล้วอาโฮมก็หายใจแผ่วลงเรื่อยๆ และหยุดหายใจอย่างสงบ เป็นการตายอย่างตั้งใจของอาโฮมเองโดยแท้และเป็นการเผชิญความตายอย่างกล้าหาญยิ่ง อาจันทร์เองก็ได้รับการเตรียมจิตยอมรับการสูญเสียจากผู้เขียนก่อนหน้าที่อาโฮมจะถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว การตายในเมื่อวานนี้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการตายที่สงบ งดงาม อย่างที่ผู้เขียนไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะผู้ตายได้เตรียมใจรับกับความตายอย่างกล้าหาญเป็นที่สุด อันน่าจะเชื่อได้ว่าดวงวิญญาณของอาโฮมย่อมเดินทางสู่ภพภูมิที่ดี จากความดีงามที่ได้บำเพ็ญมาตลอดชีวิต แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นสุขเถอะนะคะอาโฮม................
ขอใหห้อาโฮม จงไปสู่สุคติและสงบสุขค่ะ
สวัสดีค่ะคุณลีลาวดี ต้องขอโทษที่กลับมาอ่านความเห็นช้าไปหน่อย ขอบคุณที่แบ่งปันและช่วยยืนยันแนวคิดเรื่องการเตรียมตัวตายด้วยสติถึงพร้อมนะคะ คุณพระรักษาค่ะ
สวัสดีงามๆค่ะน้องพอลล่า พี่นกพึ่งกลับจากไปเข้าครอสปฏิบัติธรรมที่วัดหนองป่าพงมาค่ะ ขอบคุณที่ร่วมภาวนาจิตส่งอาโฮมสู่สุคติ จริงๆแล้วมีเรื่องราวที่น่าทึ่งหลายอย่างมาก พี่นกมีเวลาน้อยจึงบันทึกไว้อย่างเร่งรีบ เดี๋ยวจะมีเกร็ดจากการปฏิบัติธรรมมาฝากค่ะ
ความตาย..นี้เหละนับได้ว่าเป็นมรดกชิ้นสุดได้ของเราอีกอย่างหนึ่งที่คนไม่อยากรับมัน
แต่ใช่ว่าจะปฏิเสธได้..
สิบปีก่อนโยมพ่อธรรมฐิตก็จากไปในอ้อมแขนของธรรมฐิตอย่างสงบ
ตั้งแต่บัดเดี๋ยวนั้นธรรมฐิตจึงเข้าใจ(อาจไม่แจ่มแจ้ง)ว่าความตายนี้มันวิเศษมากถ้าเรารู้เท่าทันมัน
..มาเถอะ..คุณความตาย..ฉันไม่กลัวคุณหรอกเพราะฉันรู้จักเจ้าแล้ว..
สาธุกับบันทึกมีสาระขอรับ..พี่นก..
นมัสการค่ะท่านธรรมฐิต
พี่นกบันทึกได้ไม่ดีนัก เพราะรีบบันทึกกันลืม ในห้วงเวลานั้นตนเองก็ยังไม่ได้ศึกษามากนัก
มีเพียงประสบการณ์เล็กน้อย ในการดูแลพ่อด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยมที่จะให้พ่อสุขสบาย
และอบอุ่นปลอดภัย ในอ้อมกอดของพระศาสนาในวาระสุดท้ายของพ่อ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พี่เป็นผู้ดูแลพ่อทุกๆวัน ตื่นเช้าอาบน้ำให้พ่อบนเตียง คุยกับพ่อ ป้อนข้าว อ่านหนังสือธรรมะให้พ่อฟัง
และไปทำงาน เลิกงาน จ่ายตลาด เลือกซื้อสิ่งที่คิดว่าพ่อจะอยากกินและเป็นประโยชน์ต่อพ่อ กลับบ้านแม่ทำอาหาร พี่นกจะคุยกับพ่อ ป้อนอาหาร เปิดซีดี ธรรมมะ อาบน้ำให้พ่อแปรงฟันให้พ่อ บางครั้งพ่อนอนอยู่บนเตียงนานๆท้องผูก ไม่ถ่ายอุจจาระเพราะลำไส้นิ่งไม่ค่อยได้ขยับตัว ต้องช่วยสวนด้วยน้ำอุ่น พ่อไม่มีแรงเบ่งถ่ายอุจจาระ ต้องช่วยล้วงอุจจาระออกจนหมด มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อบอกว่า ดีจังเลย เหมือนเอาไม้ที่มันอุดอยู่ในรูทวารออกไป ทำให้สบายพุงขึ้นเยอะ พ่อเป็นมะเร็งของท่อน้ำดี สองเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต พ่อกินอะไรไม่ได้ พ่อยอมให้แทงเส้นเลือดเพื่อให้น้ำเกลือ แต่พ่อไม่ยอมให้สอดใส่สายยางให้อาหารทางจมูก พ่ออยู่ได้ด้วยพลังงานจากน้ำเกลือและสารอาหารวิตามินเล็กๆน้อยๆจากน้ำเกลือ เส้นเลือดที่ให้อาหารจะคงอยู่ได้แค่เพียง 3-4 วัน ก็ต้องแทงใหม่อยู่บ่อยๆ แต่พ่อก็ไม่บ่น พ่ออดทนมากในการถูกแทงเข็มให้น้ำเกลือ แต่อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้อาหารทางสายยาง พี่นกดูแลพ่อเองที่บ้านตลอด ไม่ได้ไปนอนโรงพยาบาล พ่อมีความสุขมากที่ได้รักษาตัวอยู่ที่บ้าน แม้จะป่วยหนักแต่ก็อารมณ์แจ่มใส พูดคุยยิ้มหัวเราะกับญาติๆและลูกหลานอยู่เสมอ นี่แหละคือข้อดีของการเป็นพยาบาล ข้อดีที่เราจะสามารถดูแลคนที่เรารักด้วยมือเราเองตั้งแต่ต้นจนจบ พ่ออารมณ์ดีแจ่มใสถึงวันสุดท้ายที่มีสติระลึกรู้อยู่ แต่ในวันสุดท้ายพ่อซึมลงจนไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้ แต่เรายังคุยกัน สวดมนต์ก่อนนอนด้วยกันจนถึงคืนสุดท้าย ในนาทีที่พ่อสิ้นใจ.......ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงร้องให้คร่ำครวญโศกเศร้า
มีแต่ ดวงจิตคารวะต่อคุณงามความดีของพ่อ....... ภาพใบหน้าอันปราณีมีความสุขของพ่อเป็นภาพพิมพ์ทาบอยู่ในใจ
ภาพของพ่ออบอุ่นและเป็นสุขอยู่เสมอไม่ว่านึกถึงคราใด การตายไม่ใช่ความสูญเสีย การตายเป็นวาระตามธรรมชาติ ที่เราต้องน้อมใจรับ เพราะความตายไม่เคยงดเว้นต่อผู้ใด ไม่สามารถต่อรองได้ หวังแต่ว่าเมื่อถึงเวลาของเรา เราจะมีกำลังสติเพียงพอต่อการน้อมจิดพิจารณาความตายอย่างสงบระงับ
เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้พี่นกจึงยินดีช่วยเหลือในการร่วมน้อมนำจิตสุดท้ายของผู้ป่วยและญาติให้มีความสงบสุขมากที่สุด เท่าที่พี่นกจะทำได้
การตายอย่างมีสติเป็นความฝันสุดท้ายของผมเลยหล่ะครับถ้าหากต้องถึงเวลานั้นจริง ๆ อย่างน้อยเราก็พอมีสติที่จะระลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราได้กระทำไว้พอเป็นอนิสงผลบุญนำไปสู่ภพภูมิหน้า เชื่อว่าผู้ตายโดยมีสติย่อมไปสู่สุคติภพครับ สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณบุญเย็น
เรามีความฝันเหมือนกันเลยค่ะ การมีสติพร้อมยอมรับในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ยอมรับความแตกดับโดยไม่ขลาดเขลาด้วยความเห็นแจ้งในสิ่งที่จะเป็นไปโดยแท้จริงว่า เรามีความเกิด ความแก่และความตายเป็นธรรมดา ขอภาวนาให้เราทุกคนมีสติถึงพร้อมถ้วนทั่ว กันทุกคนค่ะ
ย้อนกลับมาบันทึกนี้อีกคราครั้ง
พี่นกตอบจนธรรมฐิตมองเห็นจิตใจในมโนสำนึกของพี่นกเลย(คิดนะไม่ได้มีญาณวิเศษ)
ให้เรารำลึกเสมอว่า ณ เวลานี้เราจะทำอะไรดีละที่ให้เกิดประโยชน์..
ขอจงเรียนรู้ต่อไปอย่างนิ่มนวลและเท่าทันเท่านี้ก็สุขใจ..
สาธุสามครั้งเลยขอรับพี่นก..
นมัสการค่ะท่านธรรมฐิต
ด้วยพี่นก ตระหนักรู้ในความเล็กจ้อยและด้อยปัญญาของตน
หากมีสิ่งใดๆที่สามารถทำเพื่อผู้อื่นได้จะไม่รีรอ หรือผลักใส
ยินดีเรียนรู้ สู่การเป็นคนไร้ค่าทุกขณะ เพราะเมื่อเราแนบเนียนกับความไร้ค่าของเราอย่างแท้จริง แล้วพี่นกคงสุขใจจริงๆ