ศักดิ์ศรีของเภสัชกร


อ่าน กระทู้ หมอ JJ แล้ว  ได้ ข้อสังเกต  แลกเปลี่ยน เรียนรู้

http://gotoknow.org/blog/uackkc/292563

คนขับรถ หายากินเอง จนถ่ายออกเป็นเลือด  จะว่าโง่ มักง่าย ไม่รู้จริงๆ  เร่งรีบ ดื้อ หรือ กลัว รพ  เป็นโรคฉันกลัว รพ หรือเปล่า นะ ..

ผมคนนอกนะ  ไม่ใช่ เภสัช ไม่ใช่หมอ  แต่ เป็น คนไข้  คนใช้บริการ คนเจ็บตัว คนจ่ายเงิน  คนหวังดีแต่โง่ๆ

 

ผมว่า ศักดิ์ศรีของเภสัชกร ใน รพ ในร้านยา ในหน่วยงานจัดการเรื่องยา หายไปไหน

ผมคนนอก เห็นแคบๆ  ของผมว่า  เภสัช เป็นแค่

  • อ่านลายมือหมอ (ยุคนี้ อ่านใน คอม ฯ ได้แล้ว หลาย รพ)
  • หายา  ซื้อยา (ที่ หมอสั่งให้ซื้อ ... อ้าว สะงั้น) 
  • ทำหน้าสวยไปง้อหมอให้ซื้อยา (ดีเทล ขายยา) ..  แซวเล่นน่า  
  • จัดยา ถามคนไข้ว่าชื่ออะไร ทานยายังไง ( เรื่อง side effect ไม่เห็นบอก  ยาถูกกว่าตัวนี้ก็ไม่บอก  ฯลฯ) .. บางคนมั้ง
  • ออกไปตรวจร้านยา  ตรวจโรงงานยา  เจอคนผิด  แล้วก็ ....   แล้วไงล่ะ
  • เอาทุน เรียนสมุนไพรไทย แล้ว ยกให้ ต่างชาติได้ patent สมุนไพร   ตนเองได้ ตำแหน่ง ... ว้าว ยังมีแบบนี้อีกหรือ  ไม่น่ามีแล้วนะ
  • ตำแหน่งใหญ่ๆ  เป็นของ หมอ  (ผูกขาด โดย คะแนนสอบ  entrance ที่สูงกว่า)   แล้ว เภสัช ล่ะ ทำไม ไม่ได้  ขึ้นตำแหน่งใหญ่ๆ ...  
  • เรื่องยา เนี่ย   ใครเก่งกว่ากัน  ระหว่าง หมอ และ เภสัช  ...  ทำไมคนไข้ทานยาตามหมอทุกที ไม่เห็นมีเภสัช มา ร่วมปรึกษาคนไข้เลย ... หรือ เภสัช กลัวหมอ มากๆๆๆ .... เป็นสิทธิ์ของคนไข้ ที่อยากรู้นะ
  • จบเภสัช มี่ กี่ %  ที่ไปทำอาชีพอื่น สะแล้ว ...  เหมือนพวก ถาปัด   ที่โดนแซวว่า .. จบไป เล่นละคร ร้องเพลง ฯลฯ  
  • ฯลฯ

ผมไม่ได้โกรธเกลียด หมอ และ เภสัชนะ   ไม่ใช่ทันตะ  เทคนิคการแพทย์ หรือ พยาบาลนะ

เป็น ความสงสัย    รักเคารพ ทุกอาชีพนะครับ

ถามเฉยๆ   โยนก้อนหินถามทางเฉยๆ  

น่าจะมี เภสัช เชิงรุก  สังคมเรียนรู้   จบหมอ เภสัช น่าจะทำงานร่วมกัน  ไม่มีชนชั้น ฯลฯ

เภสัช น่าจะออกมาช่วยหมอทำงาน  ดูว่าหมอจ่ายยา มั่วไหม เหมาะไหม ฯลฯ

วันๆหนึ่ง หมอตรวจคนไข้ เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   เด็กรุ่นใหม่ ก็เริ่มไม่อยากมาเรียน ทั้งหมอ และ เภสัช  ...  อีกหน่อย  เรา จะมี หมอ เภสัช  เป็นชาวต่างชาติ ประเทศเพื่อนบ้าน แน่ๆ 

 

   ด้วยความเคารพ

 

 

หมายเลขบันทึก: 292612เขียนเมื่อ 30 สิงหาคม 2009 11:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 23:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (26)

สวัสดีค่ะอาจารย์

  • อาจารย์สบายดีนะคะ
  • พี่ครูคิมมีความสนใจอยากจะไปฝึกกิจกรรมของอาจารย์ค่ะ
  • แต่รอติดต่อทางโทรศัพท์จากน้อง..ไม่เห็นมีใครโทรไปชวนหรือบอกกล่าวเลยค่ะ
  • ด้วยความเคารพค่ะ

สบายดีครับ

ติดต่อ ได้ที่ http://managerroom.com ครับผม

เรียน ท่านอาจารย์ไร้กรอบ

  • การเรียนการสอนในเมืองเรา ไม่ค่อยเน้นทีมงาน
  • "ข้า เก่ง แต่ ผู้เดียว ใคร มาเกี่ยว ไม่ได้" ต้อง
  • "เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง จาก Leader to Partner" นะท่าน

อาจารย์ jj กล่าวมีเหตุผล

ขอบคุณครับ

ขว้างก้อนหินถามทาง ก็ได้ก้อนหินโยนกลับมาใส่ด้วย กระเด้งกลับใส่คนขว้างด้วย อิ อิ ลปรร จริงๆ

"การเรียนการสอน ที่ไม่เน้นทีมงาน" <--- ข้อแก้ตัว คือ หลักสูตรเป็นอย่างนั้น กลัวๆๆๆๆโดนตำหนิ กลัวๆๆๆๆๆ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง <--- ข้อแก้ตัว คือ เวลามีจำกัด เนื้อหามากมาย กลัวๆๆๆๆๆๆจะสอนไม่ทัน

"ข้าเก่ง ผู้เดียว" <---- กลัวๆๆๆๆ ไม่มีใครชม ไม่มีใครยอมรับ กลัวๆๆๆไม่ดัง

"leader มากมาย partner หายากนะ เมื่อก่อน มีแถวๆ โลลิต้า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้าง รร สตรีวิทยา

"การเรียนการสอน เน้นทีมงาน" ทำมาแล้วครับ ทำดี มีเกือบทุกอย่างพร้อมให้มาทำต่อได้ เลยหมดความจำเป็นอีกต่อไป นี่เป็นอีกสิ่งที่ทำให้หลายคนไม่อยากทำเป็นทีม...อิอิ

ท่าน JJ "สร้างทีม KM-QA ที่แห่งหนึ่ง"....แล้วก็หมดความจำเป็นอีกเหมือนกัน...555

ตั้งใจจะไป ร่มธรรม 19-20 กันยายน นี้ครับ กำลังชักชวน ท่าน ผบทบ. อยู่...อิอิ

สวัสดีครับอาจารย์

พอดีก้อนหินหล่นใส่หัวผมพอดี ^0^

น่าจะมี เภสัช เชิงรุก สังคมเรียนรู้ จบหมอ เภสัช น่าจะทำงานร่วมกัน ไม่มีชนชั้น ฯลฯ เภสัช น่าจะออกมาช่วยหมอทำงาน ดูว่าหมอจ่ายยา มั่วไหม เหมาะไหม ฯลฯ

ตรงนี้เริ่มมีเภสัชกรเริ่มมาทำงานตรงที่อาจารย์บอก ผมก็เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกตรงนั้น ตอนนี้ก็มีเภสัชกรทำงานตรงนี้จำนวนหนึ่ง

แต่ก็ยังลุ่ม ลุ่ม ดอน ดอน คลำทางอยู่นะครับ แม้เริ่มมา 10 กว่าปี แล้ว

ความไม่สำเร็จน่าจะเกิดจาก

1. อาจารย์ในคณะตีกันเอง และเร่งผลิตนักศึกษา โดยไม่สนใจคุณภาพ (ผมเคยให้นักศึกษาคนหนึ่งตก แต่อาจารย์ก็กลับปล่อยผ่านให้จบ) 

2. การทำงานตรงที่อาจารย์บอก ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือที่ตัวผู้ป่วย และต้องมั่นคงแน่วแน่ ไม่หวั่นแรงกระทบ เพราะแพทย์อัตตาสูงมาก จนเภสัชกรบางคนท้อใจ 

3. ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ ขั้น สุดยอด เพราะต้องทำงานร่วมกับพยาบาล  แพทย์ และผู้บริหาร

4. ต้อง เสนอหน้า เสนองาน เป็น

 

 

สวัสดีค่ะ

  • เดินตามก้อนหินที่อาจารย์โยนถามทางมาค่ะ
  • เคยป่วยไปพบหมอ หมอก็ตรวจตามปกติ  ไม่เห็นถามไถ่อะไร จัดยาสั่งยาให้แล้วก็ให้ไปรับยากลับบ้าน
  • พอได้เจอเภสัชกรที่แอบบอกว่า ยาอันนี้ธรรมดาหายช้า มียาดีกว่านี้แต่แพงกว่า....(รู้จักยาดีกว่าหมออีกค่ะ)แถมยังอธิบายซะยืดยาว  ความที่ไม่มีความรู้เรื่องยาก็ฟังเพลินเลย
  • ทำให้เราลังเล เพราะอยากหายเร็วไม่อยากป่วยนานๆ จึงตัดสินใจซื้อมาทาน  
  • แล้วก็หายจริงๆ ตามที่เภสัชกรบอก 
  • ทำให้เราเกิดศรัทธาตัวเภสัชกร 
  • ตอนหลังๆ  เลยไม่อยากจะไปหาหมอ...ไปหาเภสัชกรดีกว่า..55 
  • แต่ก็เคยไป รพ อีกที่หนึ่ง เจอเภสัชกรที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง...ดูๆ ไปเหมือนไม่ใช่เภสัชกร  เหมือนผู้ช่วยพยาบาลมากกว่า  ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง  คราวนี้เลยไม่รู้ว่าจะไป รพ ดี หรือไปร้านขายยาดีกว่ากันน่ะค่ะ...
  • เฮ้ออออ  รักประเทศไทยจังเลย

อ่านแล้วเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขอรับ

ได้ประโยชน์ในการดูจิต

ฝันว่า เรียน ป ตรี สายวิทย์ จบแล้ว ๔ ปี ค่อยมาสอบแข่ง และดูนิสัย ก่อนเข้า หมอ เภสัช ทันตะ จะไม่ดีกว่าหรือ

จะได้เรียนคละๆ กันไป จากหลายๆสถาบัน

จู่ๆ เอาเด็ก มอปลาย กระโดด มา เป็น หมอ เภสัช ทันตะเลย ... ผมว่า เสียหายหลายอย่างนะ

เพิ่งไปดูละครเวที นางฟ้านิรนาม เป็นประวัติขิงเภสัชกรชื่อ ดร.กฤษณา น่าจะเป็นตัวอย่างของเภสัชกรนักสู้ได้นะครับ

คิดถึงคนอื่นให้มาก ยังมีคนด้อยโอกาสกว่าเรามากมาย คุณยายของ ดร.กฤษณา สอนไว้ดีมากครับ

สวัสดีครับ อาจารย์

ในมุมมองของคนไข้ ผมอยากให้ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสุขภาพ รักษาคนไข้ครับ ไม่ใช่รักษาโรค มีหลายตัวอย่างที่รักษาโรคหาย แต่คนไข้กลับทุกข์กว่าเดิม ไม่อยากให้แยกหน้าที่ว่านี่คือหมอ นี่คือเภสัช ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันคือ รักษาคนไข้ครับ ต้องเรียนรู้ร่วมกันครับ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ครูแนะแนวออกอาการเลยล่ะค่ะ จะแนะแนวลูกๆที่อยากเป็นหมอ และเภสัชแนวใหม่ ท่านอาจารย์ช่วยด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ

อยู่ รพช.(โรงพยาบาลชุมชน)

เป็นองค์กรเล็ก เครือข่ายหรือการเชื่อมโยง และวงจร ไม่ยุ่งยาก รุงรัง หลายขั้นตอน เราเลยมีการทำงานเป็นทีม ที่เรียกว่า สหสาขาวิชีพจริงๆ ทุกวิชาชีพร่วมกันทำงานเป็นทีมผู้ดูแลสุขภาพ และผลัดกันเป็นเจ้าภาพเมื่อมีประเด็นให้ขบคิดหรือคลายปม การดำเนินงานเลยอาจไวและไม่เชื่องช้าเหมือนองค์กรใหญ่ แต่ถ้าจะพูดไปแล้วองค์กรใหญ่ก็มากไปด้วยผู้มากภูมิ น่าจะเชื่อมโยงกันได้เร็ว

ที่บ้านเรา จึงไม่ต้องห่วง ทุกคนไม่น้อยหน้า เภสัชกร นักกายภาพบำบัด นักโภชนากร ทันตแพทย์ รวมถึงแพทย์ ฯลฯ ต้องออกเยี่ยมบ้านด้วยค่ะ ตามปัญหาหลักที่เราต้องออกพื้นที่ตอนนั้นว่า อะไรคือปัญหา ใครคือ "คีย์แมน"

โชคดีอีกอย่างที่เภสัชกรมี Turn over rate เกือบเป็นศูนย์ จึงเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่แพทย์ในเรื่องของยา แต่เราก็ได้สร้างระบบเรื่อง ความเป็นวิชาชีพ จึงไม่ค่อยมีปัญหา หมอเด็กยินดีรับฟังพี่ๆเภสัชฯ หมออาวุโสก็รับฟังขัดแย้งกันได้ ว่ากันไปตามหลักวิชาการ

เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนกันนะคะ

ดีใจ ที่มี รพ ชุมชน ดีๆ เกิดขึ้นมาบ้าง

ตามมาขอบคุณค่ะที่แวะมาเยี่ยมที่บล็อกค่ะ

อ.รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพและระลึกถึงค่ะ

สวัสดีค่ะ

เป็นเภสัชกรจากโรงพยาบาลชุมชนค่ะ

คล้ายๆ กับพี่รพช.ที่ได้ให้ความเห็นไว้ค่ะ ที่โรงพยาบาลทำงานร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพให้เกียรติกันและกัน สามารถแสดงความเห็นได้ตามหลักฐานตามวิชาการค่ะ

ถ้ามองจากมุมมองภายนอกก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์จะมองแบบนั้นค่ะ เรื่องการแพทย์บางครั้งลึกซึ้ง ที่ร.พ.ก็มีประจำที่แพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาล พยายามจะอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้คนไข้เข้าใจ (ใช้ภาษาถิ่นกันเลย) แต่เท่าที่สังเกตคงเป็นด้วยช่องว่างความแตกต่างที่คนไข้จะไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้เรื่อง จำไม่ได้ คนไข้บางคนไม่เคยสนใจตัวเองว่าเป็นอะไร ทำไมต้องกินยาตัวนั้นตัวนี้ โรคนี้ทำไมต้องมาหาหมอเป็นประจำ จริงๆ ก็มีหลายแง่มุมค่ะ มันก็มีที่มาที่ไป แต่ถึงอย่างไรทีมก็พยายามกันต่อไปค่ะ

ในทุกๆ อาชีพ หรือวิชาชีพก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีค่ะ เป็นกำลังใจให้คนทำดีนะคะ

ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตาวิชาชีพเภสัชกร

ได้เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้และพัฒนา

ให้ผู้ป่วยได้ประโยชน์อย่างสูงสุดค่ะ

(^____^)

มีเหตุบังเอิญให้ได้มาอ่านบล็อกนี้ พออ่านจบ อดไม่ได้ที่จะต้องชี้แจง อย่างน้อยก็ในฐานะเภสัชกรคนนึง (ถึงอายุการทำงานจะไม่มากก็ตาม)

อ่านลายมือหมอ (ยุคนี้ อ่านใน คอมฯ ได้แล้ว หลาย รพ)--> ใช่ค่ะ ถูกต้อง อ่านลายมือหมอ แต่มันยังมีอะไรที่มากกว่านั้นที่พวกเราทำ นอกจากอ่านแล้ว เภสัชกรเอง ก็ต้องตรวจสอบว่ายาที่หมอสั่งนั้น ขนาดยาถูกต้อง เหมาะสมกับคนไข้รายนี้มั้ย ไม่ใช่แค่อ่านเฉยๆ แล้วยาตัวที่สั่งมามีในรพ. หรือไม่ ถ้าไม่มีจะใช้ตัวอื่นแทนได้มั้ย แล้วยาที่ได้มามี จะมีผลอะไรกับยาเก่าที่คนไข้ทานอยู่มั้ย อันนี้ไม่ใช่หรือ ที่พวกเราทำ แต่จะมีกี่คนที่ทราบตรงนี้ว่าเราทำอยู่

หายา ซื้อยา (ที่ หมอสั่งให้ซื้อ ... อ้าว สะงั้น --> ใช่ค่ะ อันนี้ก็ถูก ถ้าเภสัชไม่ทำแล้วใครจะทำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเรา เภสัชฝ่ายจัดซื้อ ไม่งั้น ใครจะจัดหายามาไว้ในรพ. ให้แพทย์ไว้ใช้จ่ายให้กับคนไข้

ทำหน้าสวยไปง้อหมอให้ซื้อยา (ดีเทล ขายยา) .. แซวเล่นน่า --> ลองมองในอีกมุมนึง คนไข้เดินเข้าคลินิกไปหาหมอผิวหนัง ถ้าคนไข้เข้าไปแล้ว หมอสิวเต็มหน้า ใครจะกล้ารักษา มันก็คล้ายๆ กันกับทุกอาชีพ คิดง่ายๆ ว่าถ้าคุณเป็นผู้ชาย คนขายไม่สวย คุณจะมีแรงจูงใจที่จะซื้อมั้ย นอกจากสินค้าจะดีจริงๆ

จัดยา ถามคนไข้ว่าชื่ออะไร ทานยายังไง ( เรื่อง side effect ไม่เห็นบอก ยาถูกกว่าตัวนี้ก็ไม่บอก ฯลฯ) .. บางคนมั้ง --> เท่าที่ได้ทำงานร้านยามาหลายปี ตัวเองได้บอกกับคนไข้ทุกครั้งว่ายาตัวนี้กินไปแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องทานยังไง หลังอาหารทันที่มั้ย ต้องดื่มน้ำตามมากๆ หรือไม่ แต่สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองด้วยว่าเค้าสนใจที่จะฟังหรือไม่ พูดไปก็บอกว่ารีบ ไม่ต้องพูด เดี๋ยวอ่านเอา ยาตัวที่ถูกกว่านี้ก็มี เวลาจ่าย บอกทางเลือกให้กับคนไข้ด้วยซ้ำไปว่าจะกินยาตัวไหนได้บ้าง กินแล้วตัวไหนดีกว่ากัน ข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร หายปวดเร็ว แต่กัดกระเพาะ หายช้าแต่ไม่ปวดท้อง หรือหายเร็ว ยาดี แต่แพง แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับคนไข้อีกนั่นแหละ ว่าจะเลือกแบบไหน เพราะเราบอกทางเลือกไปแล้ว มีหลายครั้งด้วยซ้ำไปที่ให้ยาฟรีกับคนไข้เพราะไม่มีเงิน

ออกไปตรวจร้านยา ตรวจโรงงานยา เจอคนผิด แล้วก็ .... แล้วไงล่ะ --> รู้ได้อย่างไรว่าที่ไปตรวจ พวกเค้าไม่ได้ทำอะไร อย่างเรื่องร้านยา มันเป็นเรื่องของกฎหมายที่แก้ไม่ได้ ทำไม่ล่ะ ก็เพราะพรบ.ยาใหม่ มันไม่เกิด ถามว่าเพราะอะไรอีก การเมืองเท่านั้นที่ตอบได้ อย่างเรื่องโรงงานก็ทำ ทำอยู่ ไม่งั้นจะมีการเรียกเก็บยานู่นนี่นั่นเต็มไปหมดหรอ โรงงานไหนผ่านไม่ผ่านก็ว่ากันไป

เอาทุน เรียนสมุนไพรไทย แล้ว ยกให้ ต่างชาติได้ patent สมุนไพร ตนเองได้ ตำแหน่ง ... ว้าว ยังมีแบบนี้อีกหรือ ไม่น่ามีแล้วนะ --> อันนี้พูดได้คำเดียว คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ดูง่ายๆ อย่างเรื่องดอกกะเจียว ที่เกือบจะโดนขโมยไปจดสิทธิบัตร สุดท้ายมันเป็นเพราะใคร ก็คนไทยไม่ช่วยกัน คนไทยคิดอะไรใหม่ๆ ได้ แต่ไม่คิดที่จะจดสิทธิบัตร แล้วใครล่ะ จะมาช่วยคุณ ในเมื่อคุณไม่อยากจะปกป้องสิ่งที่คุณคิดค้นขึ้นมาเอง

ตำแหน่งใหญ่ๆ เป็นของ หมอ (ผูกขาด โดย คะแนนสอบ entrance ที่สูงกว่า) แล้ว เภสัช ล่ะ ทำไม ไม่ได้ ขึ้นตำแหน่งใหญ่ๆ ... --> ข้อนี้เภสัชก็มิอาจทราบได้ เพราะว่าไม่มีอำนาจ แล้วหน้าที่ที่จะไปแต่งตั้งได้ อันนี้ก็ต้องขึ้นกับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ และหน้าที่ ซึ่งส่วนนึง ก็มีเรื่องของการเมืองมาเกี่ยวข้องอีกเหมือนกัน

เรื่องยา เนี่ย ใครเก่งกว่ากัน ระหว่าง หมอ และ เภสัช ... ทำไมคนไข้ทานยาตามหมอทุกที ไม่เห็นมีเภสัช มา ร่วมปรึกษาคนไข้เลย ... หรือ เภสัช กลัวหมอ มากๆๆๆ .... เป็นสิทธิ์ของคนไข้ ที่อยากรู้นะ --> คุณรู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้เราไม่ได้ทำ เราทำอยู่ทุกวันด้วยซ้ำไป ตอบง่ายๆ ก็เหมือนกับข้อแรกที่ตอบไปแล้ว หมอสั่งยามา ขนาดยาไม่เหมาะสม ต้องปรับขนาดใหม่ หรือสั่งยาตัวที่ไม่มีมา แล้วจะทำยังไง หมอคะยาตัวนี้เราไม่มีค่ะ ตัวที่จะใช้แทนได้ ก็มีตัวนี้ๆ ค่ะ ก็เป็นหน้าที่เราเองอีกนั่นแหละ ที่จะต้องปรึกษาหมอ แต่ผลสุดท้ายที่ออกมาคุณก็เห็นแค่เราเราจ่ายยาตามแพทย์ จริงมั้ย ? ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าเราทำอะไรกันบ้าง อยากแนะนำให้มาอยู่กันซักวันเดียวก็พอ แล้วคุณจะรู้ว่าเราทำอะไรมากกว่าที่คุณคิด

จบเภสัช มี่ กี่ % ที่ไปทำอาชีพอื่น สะแล้ว ... เหมือนพวก ถาปัด ที่โดนแซวว่า .. จบไป เล่นละคร ร้องเพลง ฯลฯ --> ข้อนี้ตอบได้เลยค่ะ ว่าน้อยมาก ที่จะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลยจริงๆ นอกซะจากว่าจะไปทำอาชีพเสริมอย่างอื่น ที่ไม่ใช่เปิดร้านยา อย่างดิฉันก็ไปเปิดร้านกาแฟสด ก็ไม่เห็นแปลก จริงมั้ยคะ

สุดท้ายที่เข้ามาตอบซะยืดยาว อยากจะบอกแค่ว่าอยากให้มองอะไรหลายๆ มุม ไม่ใช่มองแค่มุมเดียว ยอมเปิดใจให้กว้าง บางครั้งการที่เราได้ทำอะไรลงไป ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ หรือบอกให้คนอื่นรู้ หรือไม่งานบางอย่างมันก็เป็นนามธรรม มากกว่ารูปธรรมซึ่งจับต้องได้ เรื่องบางเรื่องสิ่งที่คุณเห็น กับสิ่งที่เป็นมันก็คนละเรื่องกันเลย จริงมั้ยคะ?

ปล. วิชาชีพเภสัชกรรม ก็เหมือนกับอาชีพ หรือวิชาชีพอื่นๆ นั่นแหละค่ะ ที่มีหลายสาขา หลายแขนง เพียงแค่ว่าสิ่งที่คุณเห็นมันจะเป็นสาขาไหนก็แค่นั้นเอง ก็เหมือนวิศวะ ที่มีโยธา ไฟฟ้า เครื่องกล อื่นๆ อีกหลายสาขาที่คุณอาจจะไม่รู้จักก็ได้ค่ะ

ปล.2 สุดท้ายแล้วท้ายสุด อยากจะบอกว่าผลประโยชน์สูงสุดแล้วเราก็เห็นคนไข้เป็นหัวใจสำคัญ ทำอย่างไรให้คนไข้หาย ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้ยา และปลอดภัยที่สุดค่ะ ^_^

ขอบพระคุณค่ะ

เภสัชกรภูธร

เภสัชกรมึนๆคนหนึ่ง

จริงๆแล้วเรื่องนี้มันมากกว่าแค่หมอ เภสัชครับ

มากกว่าวิชาชีพ การเรียนการสอน

ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้

-ทำไมคนขับรถต้องแก้ปัญหาด้วยการกินยา

(วิธีอื่นมีมั๊ยที่ไม่ต้องใช้ยาเช่นนวด ดูแลอาหารการกิน)

-ทำไมไม่หยุดพักอาจไม่ต้องกินยา

(หยุดไม่ได้ไม่มีกิน/เจ้านายไม่ให้หยุด)

-ทำไมกินแล้วถ่ายเป็นเลือด

(เภสัชไม่บอก/บอกแล้วไม่ฟัง)

-ทำไมไม่ไปหาหมอ หาเภสัชทำไม

-ทำไมไม่ห้ามเภสัชวินิจฉัยโรคแบบ 100%ไปเลย ทำไม!!

-ทำไมไม่เชื่อว่าทุกคนรักษาตัวเองได้

-ทำไมคนส่วนใหญ่ต้องเชื่อแนวทางการรักษาโรคว่าต้องมีแต่แบบนี้

คือหาหมอ เภสัช พยาบาล โรงพยาบาล คลินิค ร้านยา

-ทำไมทุกวิชาชีพจึงมีทั้งคนดี คนเก่ง คนมั่ว คนเลว

หรือปนๆกัน

-และอื่นๆอีกมากมาย แต่ที่สำคัญมากก็คือ

การรักษาสุขภาพกระแสหลักที่เชื่อกันอยู่ทั้งโลกเวลานี้

มันใช่ มันถูกทาง จริงๆละหรือ

สำหรับตัวผมอยากตอบว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง

มันเป็นกรรมร่วม มันพอดีแก่เหตุแล้ว

ถ้าใครอยากให้มันเปลี่ยนก็ต้องช่วยกัน

ลงมือ ลงแรงสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นครับ

ด้วยความเคารพ

เภสัชกรมึนๆคนหนึ่ง

จริงๆ เภสัชกรทำงานด้านเภสัชกรรมมากมายครับ

ไม่อยากเข้ามาแย้งด้วยคำอธิบายว่าทำอะไรๆๆๆ ต่อมิอะไรบ้าง ให้เหนื่อย

ขอเป็นคนพูดน้อย แต่ทำมากกว่า(มากมาก)

ขอบคุณที่เปิดประเด็นในเกิดการพัฒนาในวงการวิชาชีพเภสัชกรรม

ทำงานด้วยใจจากใจเภสัชกร

ความจริงถ้าจะให้ตอบก็ขอตอบแบบเดียวกับคุณเภสัชกรคนนึง เพราะพวกเรามีหน้าที่แบบนั้นจริงๆค่ะ คุณไม่ผิดหรอกค่ะเพราะคุณไม่รู้ว่าเภสัชกรมีหน้าที่อะไรบ้าง กระบวนการเป็นอย่างไร ทุกวันนี้วิชาชีพของเราพยายามอย่างมากที่จะแสดงบทบาทให้สังคมได้รับรู้ถึงตัวตนของพวกเรามากขึ้น แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ ซึ่งคนวงในเท่านั้นที่ทราบว่าความจริงมันเป็นเช่นไร แต่ขอให้ทุกคนรับรู้ว่าพวกเราต่างทำงานเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือผู้ป่วยของเราค่ะ พวกเราต่างใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาอย่างคุ้มค่าที่สุด ขอให้เข้าใจพวกเราด้วยนะคะ

สุดท้ายขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ช่วยให้พวกเราได้รู้ว่า เราต้องพยายามพัฒนาวิชาชีพของเราให้มากกว่านี้ ขอบคุณค่ะ

สิทธิที่ได้มามันมาพร้อมหน้าที่ครับ

สิทธิในการจ่ายยาให้ผู้ปว่ยโดยการอ่านลายมือหมอนั้น มันทำให้เรา (เภสัชกร)ต้องมีหน้าที่ทักท้วงตามหลักวิชา

สิทธิในการให้ข้อมูลยาแก่หมอ ในการเป็นพนักงานขายยามืออาชีพ นั้น ไม่ใช่แค่มีหน้าที่แค่ทำสวยอย่างเดียวครับ (เพราะสวยอย่างเดียวน่าจะไม่ใช่เภสัช เพราะเภสัชส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียน อาจไม่เน้นสวย) เราก็ต้องทำหน้าที่ภายใต้กรอบของจรรยาวิชาชีพ

ทัง้หมดนี้ ต้องคำนึงถึงหน้าที่ที่ตนต้องเกี่ยวข้องในฐานะเภสัชกร ไม่ว่ามีบทบาทตามสายงานเป็นอย่างไร

กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ

ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ที่กระตุกเตือนใจวิชาชีพเรา

เป็นความท้าทาย และ หน้าที่ที่ใหญ่ยิ่งของเราที่จะทำหน้าที่นี้

The Great Power come with The Great Responsibility (Spiderman I)

ภก.ทวีสิทธิ วีระวัธนชัย

แต่ผมว่าเป็นปกตินะ ที่เรามองคนอื่น

คุณๆ ลองมองอาชีพจากความเป็นคนนอกสิ

วันๆ แต่ละอาชีพทำอะไร

ตำรวจทำอะไร ตั้งโต๊ะเขียนใบสั่ง ทีขโมยขโจรไม่จับ

ผู้บริหาร เปิดป้ายที่โน่นที ที่นี่ที กินข้าวกับคนโน้นคนนี้

ครู เอาแต่ประชุมๆๆ ทำแบบประเมิน

นักบรรยาย เอาเรื่องที่โน่น มาเล่าให้ที่นี่ฟัง จับแพะชนแกะ

นักการเมือง วันๆนำแต่ความเจริญมาสู่ประเทศ...........(โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)

ฯลฯ

ทุกคน เวลาเป็นคนนอก ก็เลือกที่จะไม่มองคนอื่นอย่างลึกซึ้ง

แต่ไม่ใช่ที่ อาจารย์ พูดไม่มีเหตุผลนะ

ถ้าอาชีพคุณมี Core ที่ชัดเจน

เหมือนอย่างหมอ วิศวะ คนนอกไม่มองอย่างนั้นแน่

ก็จะกลับมาที่ อะไรเป็น Core

งานของเภสัชเราที่ผ่านมามีหลายเรื่อง

แต่เป็นเรื่อง Support ชาวบ้าน

เช่น อยู่ในทีมคุณภาพ อยู่ในทีมสุขภาพ

การจะฉายภาพ ของผู้ร่วมทีม (อาชีพเราเป็น Supporter, เป็นผู้ร่วมทีม)

การนำเสนอสู่สังคม ก็ยากเหมือนกัน

ไม่เหมือนกัปตันทีม ที่ใครมองมาก็เห็นก่อน

แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้นะ

เพราะองค์ประกอบของทีมบางคน ก็เด่นจนเป็นเอกลักษณ์ได้

เช่นผู้รักษาประตูคนสำคัญ วิงแบคคนเก่ง

แม้ไม่ใช่คนยิงประตูก็ดังได้

(แต่ยังไงก็ยากกว่า ดาวซัลโวอยู่ดี)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมว่า เราไม่ใช่เราเก่ง แต่ยังไม่ดัง

ผมว่าเราอยู่ใน State ยังหา Core ของตัวเองไม่เจอเลยต่างหาก

ภก.ทวีสิทธิ วีระวัธนชัย

ส่วนถ้าถามว่า ทำไม Core ถึงไม่ชัดเจน

.

.

แต่เดิม วิชาชีพ เภส้ชกรรมคือ แพทย์ปรุงยา

ในต่างประเทศ Pharmacist อยู่ในสาย R&D, Production ,Pharmaceutica Scientist

ซึ่งใน Scenario นี้ เป็นจุดพื้นที่เฉพาะวิชาชีพ ทำให้เห็นความชัดเจน

.

.

ในขณะที่งานในไทย ไม่มีแนวโน้มไปในทางนั้น

และค่อนมาทาง งานคลีนิค ซึ่งทับซ้อนกับวิชาชีพอื่นอยู่พอสมควร

เพราะพวกเราส่วนใหญ่ ถูกผลิตออกมาแล้วบรรจุเข้าระบบโรงพยาบาล

.

.

แต่แนวโน้ม ที่ชัดเจนขึ้นก็มีบ้าง

เช่น การดูแลผู้ป่วยที่ต้องอาศัย Pharmaceutical Science มาเกี่ยวข้อง

เช่นการเตรียมยาเฉพาะคน ในผู้ป่วยเฉพาะโรคบางอย่างเช่นมะเร็ง

การเตรียมอาหารเฉพาะผู้ป่วย อาหารทางหลอดเลือดดำ

การแบ่งโด๊สในยาเฉพาะบางอย่าง

ฯลฯ

.

.

ส่วนมุมมองจากคนภายนอกนั้น

คนไทยส่วนใหญ่ยังมองทุกคที่อยู่ใน รพ.เป็นหมอ

รวมถึง คนในรพ.ที่ไม่ใช่หมอ ก็เรียกตัวเองว่า หมอ ?????

ยิ่งทำให้ภาพคนอื่นๆมองชัดเจนน้อยลง

.

.

แต่อย่างไรก็ตาม งานเสริมทีมของคนอื่นๆ

เช่น เทคนิคการแพทย์ กายภาพฯลฯ

งานของเขา จบในตัวเอง ทำให้ภาพก็ค่อนข้างชัด

(แต่บทบาทชัดหรือเปล่าคงต้องดูอีกที หมายถึงสังคมรับทราบ เรียกร้องหา)

ไม่เหมือนงานเภสัชที่ต้องคาบเกี่ยวกับคนอื่นตลอดเวลา ไม่ได้จบงานด้วยตัวเอง

.

.

ถ้าเข้าไปดูในแต่ละโรงพยาบาลตอนนี้

หัวหน้างานเภสัชกรรมแทบทุกคน

อยู่ในทีมคุณภาพ (ซึ่งผลสัมฤทธิ์ออกมาเป็นของโรงพยาบาล ไม่ใช่ของวิชาชีพ..ทั้งที่เป็นงานหนัก)

.

.

แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีทางออกนะครับ

ยกตัวอย่างงาน การดูแลผู้ป่วยที่ต้องอาศัย Pharmaceutical Science มาเกี่ยวข้อง

งานในร้านยา ซึ่งพอจะจบในตัวเองได้

ก็น่าจะเป็นทางออกส่วนหนึ่ง ให้เราขยับเดินได้

.

ขอบคุณอาจารย์ที่สะท้อน ให้ได้กลับมามองตัวเองครับ

ผม เภสัชกรแกะดำ มารายตัวครับ

ติดตามการทำงานของผม

ที่อนุทินได้ครับ

http://gotoknow.org/journals/frxeak

ดูบันทึก จาก บล็อค ต่างๆ มากมาย ครับ

http://gotoknow.org/post/frxeak

ผมก็แค่ อยากดูแลผู้ป่วย อย่างเต็มกำลังเท่านั้นเองครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท