มองการเมืองมุมธรรมะ


พระยุ่งกับการเมืองจริงหรอ?

         เป็นธรรมดาของการเมืองที่ต้องพูดว่า "เป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์"  ซึ่งแน่นอนว่าต่างคนก็ต่างที่อยากจะครอบครองไขว่คว้าเอามาไว้เป็นของตน  แม้ว่าจะได้มาโดยวิธีใดก็แล้วแต่  ก็ยอมที่จะดิ้นรนลงทุนต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา  แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าถ้าเราได้อำนาจและผลประโยชน์นั้นมาแล้วตนเองกลับหาความสุขมิได้เลย  มีแต่จะวุ่นวาย เดือดร้อน และเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

         มีคนกล่าวไว้ว่า  คนดี ๆ ที่เข้าไปเล่นการเมืองแล้วก็อาจจะกลับกลายเป็นคนไม่ดีได้  เพราะเมื่อถูกอำนาจและผลประโยชน์มาครอบงำเขาแล้ว  เขาย่อมมืดมนมัวหมองหลงยึดติดในอำนาจและสิ่งต่าง ๆ นั้นซึ่งทำให้เขาเป็นคนละคนกันได้คือจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากดีก็กลับไม่ดี จากที่เคยมีคุณธรรมก็หาคุณธรรมมิได้  เป็นแน่แท้

         "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร" เป็นอีกคำนิยามหนึ่งของนักการเมือง  ที่ได้อ่านได้ฟังแล้วก็เกิดสลดใจเหมือนกัน  นี่บ่งบอกถึงลักษณะอุปนิสัยของคนที่เข้าไปเล่นการเมืองได้ดีอีกมุมหนึ่ง  ซึ่งสามารถที่จะหักหลังเพื่อนหรือทำลายล้างคนที่เกี่ยวข้องได้อย่างไม่ต้องสงสัย  ดังจะเห็นปรากฏในการเมืองของไทยปัจจุบัน

          การเมืองไทยในปัจจุบันนี้  เมื่อมองดูสถานการณ์แล้วก็มีความเห็นว่า  ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีความรุนแรงทวีขึ้นทุกขณะ  ผู้คนเกิดความแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด  มีสีเหลือง สีแดง หรือสีน้ำเงิน พ่อแม่พี่น้องที่แต่เดิมก็ไม่เห็นจะมีสีนั้นสีนี้  แต่ปัจจุบันนี้ก็มีสีที่ต่างกัน  พ่อเป็นเหลืองบ้าง แม่เป็นแดงบ้าง ลูกเป็นน้ำเงินบ้าง  ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน ไม่พูดคุยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นนิตย์  คิดแล้วก็น่าใจหายไปเหมือนกัน  นี่แหล่ะเป็นผลมาจากการเมือง  ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์

          ที่เขากล่าวกันว่า  "พระอย่ายุ่งกับการเมือง"นั้น  จริง ๆ แล้วโดยนิตินัย  พระก็ไม่สามารถที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือเป็นนักการเมืองเหมือนกับชาวบ้านญาติโยมได้อยู่แล้ว  เพราะตามหลักกฎหมายก็มีบัญญัติไว้อย่างนั้น  และในทางพฤตินัยการที่พระจะไปยุ่งกับการเมืองในเรื่องของการชี้นำชี้แนะให้คนอื่น ๆ ไปเลือกตั้งคนนั้นนะเลือกพรรคนี้นะ  หรือไปว่าพรรคนั้นไม่ดีพรรคนี้ไม่ดีมันก็ไม่ถูกต้อง  แต่การที่พระจะไปยุ่งกับการเมืองในเรื่องของการเป็นผู้ให้สติ  ให้ธรรมะ ให้แนวทางในการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องการเมืองนั้นถือว่าเป็นสิ่งสมควรที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเหตุบ้านการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้  พระสงฆ์ยิ่งต้องมีบทบาทสำคัญยิ่งนักในการเตือนสติญาติโยม  ให้รักกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน  มีความสามัคคีกัน  ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่ทุกคนควรที่จะฟังพระบ้าง  ควรที่จะเข้าวัดเพื่อรักษาศีล ฟังธรรมบ้าง 

          พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า  "ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้  เป็นทุกข์ ไม่มีตัวไม่มีตน  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  แล้วก็ดับไปในที่สุด"  การเมืองที่เต็มไปด้วยอำนาจและผลประโยชน์ก็เหมือนกัน  ย่อมเกิดขึ้นมา  ดำรงอยู่ได้สักพัก  แล้วสุดท้ายก็ดับไปเหมือนกันนั้นแหล่ะโยม  ฉันใดก็ฉันนั้น  ดังนั้น  สิ่งที่อยากจะเตือนสติให้ระลึกไว้  ก็คือ  คนไทยด้วยกัน  ก็ควรมีความรักภักดีต่อกันและกัน  งดเว้นจากการทำบาปหยุดการใส่ร้ายป้ายสีกันและกัน  ทำแต่ความดี  คิดดี พูดดี ทำดีต่อกันและกัน  และนั่งสมาธิทำใจให้สงบบริสุทธิ์  ทำได้อย่างนี้  ประเทศไทยของเราเหล่าท่านทั้งหลายก็คงจะสงบร่มเย็นเป็นสุขตราบเท่านานแสนนาน  ขอเจริญพร..

          ลองดูมุมมองของพระ(ท่านว.วชิรเมธี)กับการเมือง(นายกอภิสิทธิ์)

คำสำคัญ (Tags): #การเมือง#ธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 292352เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2009 20:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 23:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

กราบนมัสการครับพระอาจารย์

การเมืองยุ่งเพราะนักการเมืองมุ่งทำเพื่อตัวเอง พรรคพวก

งานการเมืองคืองานเพื่อบ้านเพื่อเมืองครับ เป็นงานของผู้เจริญ

หากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าจริงๆ

พระจะเป็นนักการเมืองโดยธรรมครับ เพราะพระที่แท้จริง

คือผู้ที่ทำแต่สิ่งเจริญ สิ่งประเสริฐให้แก่ส่วนรวมครับ

ยุคนี้กลียุค คนชั่วมีสามส่วน คนดีมีส่วนเดียว ยังไงปัญหา

ก็ไม่จบง่ายๆ เพราะคนชั่วย่อมทำชั่วได้ง่าย ส่วนคนดีแท้ ทำชั่วได้ยาก

ทำดีได้ง่ายครับ กราบนมัสการครับ

 

ใช่ครับพระมีสิทธิแสดงบอกกล่าวได้ถ้าสิ่งไหนใครทำไม่ดี ถือว่าเตือนสติครับ

แต่อย่างว่าแหละครับ สังคมนี้มีกฏเกณฑ์ที่ละเอียดอ่อน ทำอะไรต้องระวัง

"พระกับการเมือง"..เรื่องดีที่ควรรู้         หากพระอยู่ดูดีมิกังขา

พระเป็นพระสาวกองค์ศาสดา              โยมศรัทธาเชื่อมั่นนั่นแหละดี

จะแนะนำอย่างไรย่อมได้ผล                 ศาสนิกชนเชื่อถือคือศักดิ์ศรี

เหมือนพระโปรดเมตตาด้วยปรานี          ใช้หลักธรรมนำชี้ย่อมมีคุณ

แต่เสียดายวันนี้มีปัญหา                       โยมศรัทธาตกต่ำทำเสียศูนย์

เริ่มสงสัยพระดีผู้มีบุญ                          โอ้พระคุณพุฒาจารย์ท่านสิ้นไป

ให้ความเห็นเป็นบทกลอน..อ่านแล้วคมสุด ๆ เลยโยม..สมแล้วที่เป็นอาสาเครื่อข่ายรักษาพระพุทธศาสนา..ขออนุโมทนาบุญด้วยนะโยมวิโรจน์..

เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับความเห็นที่ 2 ว่าพระมีสิทธิที่จะตักเตือนหรือสั่งสอนได้ หากมองในแง่ของหลักทางธรรมแล้ว และก็จริงอีกที่ว่าสังคมไทยนั้นละเอียดอ่อนมาก

ซึ่งจะทำให้คนอาจมองไปในทางที่ผิดเพราะมีอคติที่อยู่ในใจเนทุนเดิม และมองเป็นว่า พระเข้ามายุ่งกับทางโลกทำไม น่าเป็นห่วงๆ

นมัสการพระคุณเจ้า

การเมืองสับสนวุ่นวาย ก็เพราะนักการเมืองนั่นเองที่ไม่รู้จักพอ

หนทางในการเยียวยาที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นธรรมะ (เยียวยาจิตใจ)

นมัสการค่ะ...

ถ้าทุกคนล้วนระลึกไว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ ไม่มีตัวไม่มีตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุด"

ทุกอย่างบนโลกไม่เว้นแม่แต่เรื่องการเมืองคงจะสงบสุข นักการเมืองคงเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง

คนไทยรักกันเถอะนะ **

ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปรึเปล่านะคะ แต่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องน่าสลดใจจริงๆ และคงจะเป็นไปได้ยาก(กว่างมเข็มในมหาสมุทรรึเปล่า)ที่จะหานักการเมืองที่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เคยได้มีโอกาสคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนต่างชาติ ว่านักการเมืองควรเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ที่เสียสละอุทิศตนใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองมาบริหารบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า แต่มันคงเป็นได้แค่อุดมคติเท่านั้น รายไหนรายนั้นมีแต่โกย ต่างแค่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง อาจจะมีบางคนที่โกยแบบเนียนๆ ไม่มีหลักฐานให้จับได้ หรือเมื่อหมดอำนาจถึงแม้ว่าจะเนียนแค่ไหนพวกอำนาจใหม่ก็จะคุ้ยหาหลักฐานจนเจอเพื่อ discredit กัน ดูข่าวการเมืองทุกวันนี้ทั้งเครียดทั้งสลดใจ บางครั้งเรื่องไร้สาระแท้ๆ ยังเอามาเป็นประเด็นกันได้ ดูๆแล้วไม่ต่างจากชาวบ้านเวลาทะเลาะกัน ที่ไม่ต้องเอาความรู้ความสามารถมาใช้กันเลย แถมยังมีการวางมวยในสภาอีกแน่ะ ผู้ที่มีการศึกษา ผู้ที่เจริญแล้วทำกันอย่างนี้เหรอ ????? เฮ้อ!!! คงไม่มีอะไรที่ดีกว่าคำนี้แล้วหล่ะค่ะ ได้อ่านเรื่องกรรมเวรไปก่อนหน้านี้ เลยมีคำถามขึ้นในใจว่าเมื่อไหร่หนอ "กรรมเวร จะตามพวกนักการเมือง จ.ร. พวกนี้ทันเสียที" พวกนักการเมืองที่โกงชาติโกงเมือง ก่อความวุ่นวายทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ตายไปแล้วจะไปไหนคะพระคุณเจ้า ถ้าทุกคนมีธรรมะในหัวใจ ประเทศชาติก็คงไม่วุ่นวายขนาดนี้หรอกค่ะ เฮ้อ!!!!(ขออีกครั้งนะคะ)

ขอคัดลอกข้อความบางส่วน จากท่านผู้รู้ มาให้หนูอ่าน

==============================================

เมื่อ อปริหานิยธรรม ได้หมดไปจากสังคมไทย
อปริหานิยธรรม ที่หมายถึง ธรรมที่ไม่ทำให้เสื่อม ๗ ประการ
ได้หมดไปจากสังคมไทย..
(อุปมาอุปมัยว่า เมืองไทยตอนนี้ วัสสการพรามหณ์ มีมากเกินไป
ไม่ใช่คนเดียวอย่างกรณีการล่มสลายของแคว้นวัชชี
และวัสสการพรหมณ์เหล่านีี้ก็แผ่อำนาจเป็นก๊กเหล่าชัดเจน เป็นขั้ว)

..คำตอบก็คือ เสื่อม วิกฤต หายนะ ล่มสลาย

ไม่มีใครจะฝืนเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้

หากจะฝ่าไปได้ ฟื้นฟูได้ กอบกู้ได้ ก็ต้องฟื้นให้สังคมไทย กลับมามีอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ ประการ อีกครั้ง

แต่คนในสังคมไทยในยุคต่อไป จะแบ่งกลุ่มกันชัดเจน ตามสื่อเฉพาะกิจที่ตนเองเลือกเสพจนเสพติดเป็นหลัก แม้ในครอบครัวเดียวกันก็คิดต่างกันสุดขั้วได้ เพราะเสพสื่อที่ตนเองชอบทุกวันๆๆ ความหยั่งลึกในทิฏฐิ จนยึดมั่นถือมั่น ก็มีมากขึ้นๆ ลึกขึ้นๆ เป็นระเบิดเวลา ที่รอวันระเบิดครั้งใหญ่และหลายจุด
โลกจะต้องบันทึก ปรากฏการณ์ระเบิดเวลามนุษย์ ที่น่ากลัวกว่า suicide bomb ใดๆ กำลังจะเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ที่อ้างแต่ปากปาวๆ ว่าเป็นแผ่นดินพุทธศาสนา (พุทธศาสนาจะต้องขายหน้า และเสียสถิติว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพก็คงคราวนี้แหล่ะ)

........................ .....................................
.........................มิอาจเปิดเผยได้..............................

กรรมปัจจุบันของคนหมู่ใหญ่ที่มีโทสะเป็นเรือนมีแนวโน้มจะก่อเหตุให้เป็นกรรมอกตัญญูเนรคุณต่อสถาบันชาติ-กษัตริย์ให้ล้มลงไป ก็จะไปเพิ่มบาปมวลรวมประชาชาติที่มากอยู่แล้วให้มากไปอีก ก็คงได้รับผลกระทบจากบาปกรรมนี้กันถ้วนหน้าต่อไป (แม้เราพยายามจะหลีกสุดๆ ไม่ให้ไปมีเหตุร่วมด้วยกับคนพวกนี้แล้วก็คงหลบผลกระทบไม่พ้น) และจะย้อนกลับมามีผลต่อพระพุทธศาสนาในแผ่นดินนี้ด้วย ก็เป็นห่วงตรงจุดนี้นั่นแหล่ะ งั้นช่วงนี้ก็คงต้องสั่งสมบุญ และเหตุปัจจัยแห่งการดำรงพระธรรมวินัยอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ไว้ให้เต็มที่โดยหวังว่าจะยังคงข้ามช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งหายนะนี้ไปได้ถึงยุคฟื้นฟู (ซึ่งไม่ง่ายเลย และยังมีความเสี่ยงสูง ที่พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์อาจถูกหางเลขโดนทำลายลงไปด้วย ต้องช่วยกันรักษาให้เต็มที่)

- ธรรมกายก็มีสื่อของธรรมกายเผยแพร่ทั้งวันทุกวัน
ก็มีคนกลุ่มใหญ่เสพติดอิน และแสดงออกตามที่สื่อชี้นำ
- สีแดงก็มีสื่อของสีแดงเผยแพร่ทั้งวันทุกวัน
ก็มีคนกลุ่มใหญ่เสพติดอิน และแสดงออกตามที่สื่อชี้นำ
- สีเหลืองก็มีสื่อของสีเหลืองเผยแพร่ทั้งวันทุกวัน
ก็มีคนกลุ่มใหญ่เสพติดอิน และแสดงออกตามที่สื่อชี้นำ
- แกรมมี่ก็มีสื่อของแกรมมี่ เผยแพร่ทั้งวันทุกวัน
ก็มีคนกลุ่มใหญ่เสพติดอิน และแสดงออกตามที่สื่อชี้นำ
- พวกตุ๊ดเกย์ก็มีสื่อของตุ๊ดเกย์ เผยแพร่ทั้งวันทุกวัน
ก็มีคนกลุ่มใหญ่เสพติดอิน และแสดงออกตามที่สื่อชี้นำ
ฯลฯ

แต่ทำไม???? ฝ่่ายที่ทำความดีส่งเสริมให้ทำความดีจริงจังไม่เฟค
กลับไม่มีสื่อที่เผยแพร่ทั้งวัน ทุกวัน แบบดังกล่าวบ้าง
จึงไม่มีคนกลุ่มประจำดู จึงไม่มีคนจะแสดงออกตามสื่อชี้นำ
ก็มีแต่่โครงการที่ทำๆ กันอยู่ตามยถากรรม นี้แหล่ะ อนิจจา

เมื่อเหตุปัจจัย มีแต่ปรโตโฆสะที่ทำให้เกิดอโยนิโสมนสิการและมิจฉาทิฏฐิ ที่มีกำลังมาก
แต่เหตุปัจจัยไม่มีปรโตโฆสะที่ทำให้เกิดโยนิโสมนสิการที่มีกำลัง
ก็ย่อมเพิ่มอัตราเร่งของความเสื่อม ที่เราคนเล็กคนน้อยไม่อาจเข้าไปทัดทานได้

ก็คงต้องทำแบบคนกลุ่มน้อย-กลุ่มทางเลือก ต่อไป
ยังไงก็ไม่ท้อ

ท้ายนี้ ก็ขอโอกาสเป็นปรโตโฆสะมาให้ เหมือนทุกครั้ง (เฮ้อ! แต่ก็ไม่มีใครตัดใจได้สักที)
ก็ขอเป็นแผ่นเสียงตกร่องให้ปรโตโฆสะแบบเดิมๆ อีกครั้ง

"การเมืองไทยไม่ใช่เหตุปัจจัยของความเจริญ แต่เป็นเหตุปัจจัยของความเสื่อม
รับฟังติดตามได้ แต่อย่าไปอิน อย่าไปคาดหวัง อย่าไปหลงเลือกข้าง
ตัดใจให้ขาดไปเลย ตัดไปเลย เพราะมันจะอดมีอารมณ์ร่วมไม่ได้ ความน้อยใจ อึดอัดใจ เคียดแค้นชิงชังมันจะแฝงตัวแอบอาศัยในจิตใจได้ ตัดใจให้ขาดไปเลยนะ"

==================================================

จริงๆแล้วพระยุ่งกับการเมือง มาแต่สมัยโบราณ

แต่ยุ่งด้วยปัญญามีวิธีการที่งดงามและลึกซึ้ง

ชาติศาสนาจึงอยู่รอดจนถึงตอนนี้

แต่ๆ สิ่งล้ำค่าที่มีมานั้นหายไป

มาดูดีกว่า ว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะจบตรงไหน..

จุดเริ่มต้นของปัญหา เริ่มที่ 50-60 ปีที่แล้ว

ดาบหนึ่ง

มีเผด็จการทหารขึ้นมาปฏิวัติ และเปลี่ยนวันหยุด วันโกนวันพระ มาเป็นเสาร์อาทิตย์

หวังว่าจะโก้ดี.. แต่หารู้ไม่ว่าได้ทำลายวิถีชาวพุทธ ที่เขารักษามาตั้งแต่เป็นไทย หกเจ็ดร้อยปี จนแทบสูญสิ้น

เขาได้ทำลายสิ่งมีค่าที่สุดของชาวพุทธไป

นั่นคือจุดเริ่มของความเสื่อมที่มองเห็นชัดเจน

50 ปีผ่านไป จึงไม่แปลกที่ พระพุทธศาสนาถูกมองอย่างเหยียดว่าเป็นเรื่องของคนแก่

ดาบสอง

ต่อด้วย การแยก พระสงฆ์ที่เคยกุมการศึกษาของคนทั้งชาติออกจากกัน

พระไม่ได้สอน คนก็เสื่อม

พระว่างงาน ก็ไปเสก + สร้างวัตถุใหญ่ๆ สร้างอิฐสร้างปูน แข่งบุญ แข่งบารมี กลายเป็นพวกวัตถุนิยมไป

มิได้พัฒนาตนในฐานะผู้สอนอีกต่อไป

พุืทธบริษัทแยกจากกัน ก็พลอยเสื่อมทั้งสองด้าน ทั้งโลก ทั้งธรรม

ดาบสาม

ชนชั้นปกครอง นิยมส่งลูกเรียนโรงเรียนคริสต์ พอโตส่งไปเรียนเมืองนอก

กลับมาก็มากุมการศึกษาและบริหารบ้านเมือง ไม่เข้าใจและเหยียดศาสนาของตนเอง

วิชาพระพุทธศาสนา หน้าที่พลเมือง ถูกถอดออกจากระบบการศึกษา ทีละนิดๆ

จากวิชาบังคับ มีหลายคาบ

กลายเป็นวิชาเลือก มีน้อยคาบ

และจะไม่เหลือเป็นวิชาอีกต่อไป

เยาวชนของชาติ จึงเป็นอย่างที่เห็น

มีดาบ สี่ดาบห้าตามมาอีกนับไม่ถ้วน

ลัทธิต่างๆ แปลกๆ หรือพุทธเทียมๆแบบธรรมกาย จึง เฟื่องฟู

สื่อถูกฝ่ายไม่ดีเอาไปใช้จนหมดสิ้น

พลังความชั่วร้ายจึงขยาย กำทอนไม่จบสิ้น

ชาตินิยมแบบชั่วคราว หรือคลั่งชาติ คลั่งสี คลั่งข้าง แบ่งหมู่ แบ่งเหล่า จึงปะทุใกล้จุดแตกหัก

สถานการณ์ความเป็นชาติ ศาสนา ในตอนนี้แทบไม่เหลือ

อุปมาได้กับคนเป็นเอดส์ขั้นสุดท้าย ไร้ภูมิคุ้มกันใดๆ

คร่าวๆ แบบไม่ละเอียด ก็พอจะเห็นภาพชัดนะครับ

เห็นโจทย์ชัดแล้ว คงพอจะตระหนักตื่นรู้

และ...เตรียมขุดหลุมไว้รอฝัง

ทางแก้ ทางออก พอมีอยู่

ค้นปริศนาธรรมในพระมหาชนกนะครับ

คำตอบอยู่ในนั้น.

เคยสงสัยไหม ว่าสมัยก่อน ไม่มีเทคโนโลยีสื่อสารทันสมัย

แต่ละเมืองก็อยู่ไกลๆกัน จะเดินทางไปมาหาสู่กันทีก็หลายวัน

แต่ทำไมเรายังเชื่อมร้อยความเป็นชาติ ให้สมัครสมานสามัคคีและอยู่

รอดปลอดภัยได้

อะไรทำให้มีชุมชนที่เข็มแข็งอย่างบางระจันเิกิดขึ้นได้

คนโบราณ เขามีนวัตกรรมอะไร จึงรักษาชาติศาสนาไว้ได้หรือ?

ถ้ามีคนทำวิศวกรรมย้อนรอย และพบนวัตกรรมนั้นในอดีต ก็ยังพอที่

จะยื้อปัจจุบันได้บ้าง

....

ตอนนี้ มาถึงจุดที่ สายไปแล้วที่พระจะยุ่งกับการเมือง

แล้วคิดว่าจะแก้ปัญหาปัจจุบันได้ ถ้ายุ่งตอนนี้จะยิ่งพัน

ต่อให้พระนักเทศน์เก่งๆ มาเทศน์ให้นักการเมืองฟัง แต่คนสร้างปัญหา

ก็ไม่ได้มาอยู่ฟังอะไรเทือกนี้หรอก

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ หากเป็นฟางเส้นสุดท้ายก็ต้องรีบ

เกาะ

แต่มันยังผิวๆเกินไป หยาบไป

ชาวพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีพุทรา พุดซ้อน พุดในทะเบียนบ้าน พุด

หลักลอยเสียมาก

กฏหมายที่พอจะรักษาผลประโยชน์ชาวพุทธ มีน้อยฉบับที่พลักดันออก

ไปได้

เมื่อเทียบกับศาสนาอิสลาม ที่มีคนน้อยกว่า แต่สามารถออก

กฎหมายสำคัญๆ ออกมาได้ตอนนักการเมืองไทยแย่งเก้าอี้ กันเอง

ไปลองดูเถิดว่ามี กฏหมายอะไรบ้าง

ไม่ว่าจะวงประชุมระดับไหน ระดับชาวบ้าน ระดับโรงเรียน ไปถึง ครม.

ใครที่เสนออะไรดีๆ มักจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนหมู่ใหญ่

เสนอไปก็เป็น "ศิลาลอย น้ำเต้าจม"

สถานการณ์ ไม่ต่างกับประเทศพุทธโดนฝรั่งยุคล่าอนานิคมยึดครอง

เท่าใดนัก

เป็นพุทธ นะหรือ เก็บภาษีแพงๆ

เป็นพุทธ นะหรือ จะไม่มีวันก้าวหน้าในราชการ

ทั้งพม่าและศรีลังกาจึงเป็นเมืองพุทธที่เข้มแข็งกว่าไทยหลายเท่านัก

ไม่เคยสูญเสีย จึงไม่เห็นค่า

แถมยังนิยมฝรั่ง เหยียดชาติ ศาสนาตนเอง

เป็นโรคจิตขั้นรุนแรง ที่เรียกว่า self Alien nation

ตัวอย่างพื้นฐานที่สุดนะ ไปดูเถิด บ้านไหนมีชุดไทยอยู่ในตู้เสื่อผ้าบ้าง

ขั้นวิกฤติก็ คงไม่พ้นข่าว เกษตรกรไทยขายที่นาให้ร่างทรงต่างชาติ

ความเป็นไทย ความเป็นชาติแทบสิ้นแล้ว

เมื่ออปริหานิยธรรมถูกทำลายสิ้น

จึงฟันธงได้เลยว่า เมืองไทยหายนะแน่

>>>>>>>คงไม่เกิน 39 เดือนนับจากนี้<<<<<<

เหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ อุปมาเหมือนเช่นตอน กรุงศรีอยุธยา

กำลังจะแตก

ในตอนนั้น มีน้อยคนที่จะคิดต่าง คือ ไม่ฝืนยื้ออยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป

เช่นพระเจ้าตาก ที่เลือกที่จะตีฝ่าวงล้อมออกไปซ่องสุมกำลังในชนบท

ไม่น่าเชื่อว่ากำลังอันน้อยนิดที่ตีฝ่าวงล้อมออกไป จะกลับมากู้ชาติบ้าน

เมืองได้ ในเวลาต่อมา

คำถามคือ ในตอนนั้นพระเจ้าตากก็เป็นเพียงทหารผู้น้อย ทำไม เหล่า

ขุนนางอำมาตย์ แม่ทัพนายกองทั้งหลายไม่คิดเช่นพระองค์บ้าง

มันก็เหมือนกับเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ ที่มีเพียงคนเล็กคนน้อยคนไม่กี่คน

ในวัยอย่างหนูนี่ละ ที่เริ่มเตรียมการฝ่าวิกฤติหายนะของชาติ

========================================

อปริหานิยธรรม ๗ (เวอร์ชั่นสรุปเป็นคำคล้องจองสัมผัสเพื่อจำง่าย)

- หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์

- พร้อมทำกิจไม่เกี่ยงก่อนหลัง

- ตั้งมั่นในหลักการไม่หาญหัก

- เคารพรักพระปราชญ์ ผู้เฒ่าผู้ใหญ่

- คุ้มกันภัยมวลหมู่มิให้หวั่นหวาด

- เคารพในชาติศาสน์กษัตริย์-ศูนย์รวมใจ

- สั่งสมและส่งเสริมให้พระดีมีกำลังนำสังคม

=======================================

ตอนนี้ ธรรมทั้ง 7 ข้อ ได้ถูกทำลายลงแทบสิ้นแล้ว

เหลือเพียง เวลาแห่งหายนะ .......

และการสร้างเหตุแห่งการฟื้นฟู

อยู่ที่ว่าเราจะเลือกสร้างเหตุแห่งหายนะ หรือเหตุไว้เตรียมการฟื้นฟู

เมื่อใดที่ภายในอ่อนแอ ภัยภายนอกจะเข้ามา

ขอทิ้งท้ายไว้นิด

ดั่งที่อุปมานั้น ใช้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ตอนนี้ศัตรูของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว

มิได้รุกคืบด้วยคบหอกคบดาบอีกต่อไป

แต่ผสมผสาน

ระหว่างคมหอกคมดาบ โมหะภูมิ และบริโภคนิยมที่มุ่งเร้า(โลภ โกรธ

หลง)ลัทธิความเชื่อ

ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดภาคใต้ และ เหลือง แดง น้ำเงิน

การต่อสู้ในยุคนี้จึงเปลี่ยนไป คือมีทั้งสงครามระหว่างสีต่างๆ (ชาติ

ศาสนาลัทธิความเชื่อต่างๆ) และสงครามระหว่างสีขาวและสีดำ

หากจะตอบแทนคุณผืนแผ่นดินนี้

จึงมิใช่การแสดงออกแบบบริโภคนิยม ซื้อทุกอย่างที่เป็นสีเหลือง สีแดง

หรือออกมาแสดงออกทางการเมือง แบบเหลือง แดง

แต่คนที่กตัญญุแท้ จะต้องแสดงออกด้วยการทำความดีเท่านั้น

และต้องเป็น การทำความดีเพื่อความดี

คือไม่ได้ทำเพื่อใคร หรืออะไรอีก

ไม่ได้ทำเพื่อพรรค,พวก,พี่น้อง

ไม่ได้ทำเพื่อสีใดสีหนึ่ง

ไม่ได้ทำเพื่อในหลวง

ไม่ได้ทำเพื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง

หรือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

แต่ทำเพื่อ...

ให้ความดียังมีลมหายใจอยู่อีกต่อไป

ต่อลมหายใจแห่งความดี

...ให้ความดียังมีอยู่คู่โลกใบนี้

>>>>>>>ทำความดีเพื่อความดีเท่านั้น<<<<<<<

จึงจะส่งผลย้อนกลับมาให้ประเทศชาติ

และพระพุทธศาสนา อยู่รอดเคียงคู่คนไทยต่อไป.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท