จากพุทธพจน์สุดท้าย
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
ขอนำความหมายของคำว่า ความประมาท และ ความไม่ประมาท มาบันทึกถึงหน่อยนะคะ โดยยกคำบรรยายของพระอริยสงฆ์มาเป็นบทอธิบาย
ความประมาท
ความประมาทในภาษาชาวบ้าน จะต่างจากภาษาวัด โดยทั่วไป จะหมายถึงความปราศจากสติ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ขาดความยั้งคิด ขาดความรอบคอบ ทำอะไรบุ่มบ่ามจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย แต่ในภาษาวัด จะหมายถึงความพลั้งเผลอ ละเลยในการประพฤติสุจริตและสัมมาทิฐิ มัวแต่ประพฤติทุจริต และมิจฉาทิฐิ ทำให้เสียประโยชน์ คือมรรคผลที่พึงได้ในชาตินี้และชาติหน้า ตลอดถึงพระนิพพาน ( * หน้า ๕๒๙ )
คำว่าประมาทมันรวมไว้ทั้งหมดของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ความไม่รู้ก็รวมอยู่ในคำว่าประมาท ความอวดดีก็รวมอยู่ในความประมาท ความสะเพร่า ไม่รอบคอบ ก็รวมอยู่ในความประมาท ความขี้เกียจก็รวมอยู่ในความประมาท แม้แต่ความไม่ตั้งอกตั้งใจฟันฝ่าอุปสรรคให้สำเร็จ ก็เรียกว่าความประมาททั้งนั้น(**หน้า ๔๐)
ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท คำวัดใช้คำว่า อประมาท , อัประมาท หรือ อัปปะมาทะ ความหมายตรงข้ามกับความประมาท ในทางปฏิบัติ ความไม่ประมาทก็คือ สติ นั่นเอง และความไม่ประมาทนี้ เป็นธรรมที่ถือว่าเป็นหัวใจ หรือ บทสรุปรวบยอดของคำสอนทั้งหมด (* หน้า ๑๓๒๓)
พระธรรมปิฏก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) ได้ให้ความหมายของความไม่ประมาท(อัปปมาทะ)ไว้ว่าเป็น ความเป็นอยู่อย่างไม่ขากสติ ความไม่เผลอ ความไม่เลินเล่อเผลอสติ ความไม่ปล่อยปละละเลย ความระมัดระวังที่จะไม่ทำเหตุแห่งความผิดพลาดเสียหาย และไม่ละเลยโอกาสที่จะทำเหตุแห่งความดีงามและความเจริญ ความมีสติริบคอบ
ความไม่ประมาท พึงกระทำในที่ ๔ สถานคือ ๑.ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต ๒. ในการละวจีทุจริต ในการประพฤติวจีสุจริต ๓.ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต ๔.ในการละความเห็นผิด ประกอบความเห็นที่ถูก;อีกหมวดหนึ่งว่า ๑.การระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ๒.ระวังใจไม่ให้ขัดเคือง ๓.ระวังใจไม่ให้ไม่ให้หลง ในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง ๔.ระวังใจไม่ให้มัวเมา ในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา (*** หน้า ๓๔๑ )
ส่วนท่านพุทธทาส เน้นไปที่ ความไม่ งมงาย ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน ของตัวของตน ท่านว่าให้ศึกษาเรื่องจิตว่างให้กระจ่าง (**** หน้า ๒๓๕ )
ไม่ว่าจะเน้นไปทางใด ไม่ประมาทไว้เป็นดีที่สุดค่ะ เพราะเราอาจจะถึงกาลมรณะด้วยลมหายใจถัดไปก็ได้ จึงควรใช้เวลาขณะที่ยังมีลมหายใจอยุ่ให้ดีที่สุด
...................................................................
อ้างอิง
* พระธรรมกิตติวงศ์ ( ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ธรรมสภา ๑/๔-๕ ถนนบรมราชชนนี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ ๑๐๑๗๐
**พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส ธรรมสภา ๑/๔-๕ ถนนบรมราชชนนี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ ๑๐๑๗๐
***พระธรรมปิฏก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงทพ ๑๐๒๐๐
****พุทธทาสภิกขุ ภาษาคน - ภาษาธรรม ธรรมสภา ๑/๔-๕ ถนนบรมราชชนนี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ ๑๐๑๗๐
ตราบใดที่มนุษย์รู้จักตัวตนของตน ตราบนั้นตัวตน ๆ นั้นก็จะประคองตนให้สมตนได้ชั่วกาลตน
บางครั้งตนเองก็เผลอ...เผลอ = ประมาท ทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ทันได้คิด หรือคิดแล้วแต่คิดไม่ถึง...ว่าจะเป็นอย่างงั้นอย่างนี้ตามมา ฮ้าย!!แย่จัง
ขอบคุณค่ะใช้ชีวิตไม่ประมาทเช่นเดียวกับพี่ตุ๊กตา..บ้างคงดีนะคะ..
สวัสดียามเย็น เจ้า
ทำอะไร ๆ ๆ ต้องไม่ประมาท
การใช้ชีวิต ต้องไม่ประมาท
การใช้ชีวิต "คู่ " ต้องไม่ประมาท
ขอบคุณนะคะ
มาชม
มาเชียร์
เป็นธรรมะน่าสนใจดีจัง
อตมา ขออนุญาตินำข้อมูลนี้ไปใช้ประกอบในงานวิจัย ท่านอาจารย์ เจริญพร