.
เราได้เรียนรู้อะไรจากการใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกเพื่อป้องกันไข้หวัด 2009
.......................................................................................................................................................
เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วกับการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยใช้ผ้าปิดปากปิดจมุกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส H1N1 หรือไข้หวัด 2009 นั้น ดิฉันเห็นความเปลี่ยนแปลง และเห็นความลั่กลั่นในการนี้ระหว่างหมู่ผู้ใกล้ชิด และผู้คนที่เกี่ยวข้องในสังคม ขอนำมาเสนอแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้ร่วมกันดังนี้
1) โรงเรียนระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายหลายแห่งรณรงค์ให้นักเรียนใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกในการใช้ชีวิตที่โรงเรียน ในชั้นเรียน ใครที่ลืมเอาผ้านี้ไปโรงเรียนจะถูกปรับเงิน 50-100 บาท เป็นมาตรการส่งเสริมการใช้ผ้าปิดปากจมูกในโรงเรียนที่ไม่ได้ปลูกฝังถึงความตระหนักรู้และการสร้างสรรค์ เด็กนักเรียนหลายคนบ่นว่า ได้ยินแต่ครูสอนให้ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก และล้างมือบ่อย ๆ ทุกชั่วโมง
2) นักเรียนกลุ่มดังกล่าวที่ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเป็นเวลาหลายวัน จันทร์ถึงศุกร์บ้าง จันทร์ถึงเสาร์บ้าง โดยที่ไม่มีการซักทำความสะอาด แม้ว่าผู้ปกครอง และครูจะบอกให้ซักบ้างก็ตาม แต่ก็ยังมิได้เป็นไปตามที่คาดหวัง กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
3) ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เมื่อสนทนากับใครก็ตาม จะต้องมองริมฝีปากผู้ร่วมสนทนา โดยเฉพาะผู้สนทนาที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อช่วยในการฟัง สร้างความเข้าใจตาม วิเคราะห์การสื่อความหมาย เมื่อใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกแล้ว ทำให้ดิฉันหมดความสนใจในการสนทนาได้โดยง่าย
4) คืนก่อนนั่งรถทัวร์จากเชียงรายเข้ากรุงเทพ มีด่านตรวจบัตรประจำตัวประชาชนบริเวณกลางทาง เข้าใจว่าบริเวณจังหวัดลำปาง ขณะนั้นเป็นเวลา 2230 น. ดิฉันและผู้โดยสารบางท่านก็กำลังหลับ อาสาสมัคร หรือ อส.กรมการปกครองเดินขึ้นมาบนรถและ ใช้ข้อศอกปลุกผู้โดยสารให้ตื่นเพื่อตรวจบัตรประจำตัวประชาชน แทนการใช้มือเนื่องจากกลัวติดเชื้อไข้หวัด 2009 และอส.ท่านนั้นก็ใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกด้วย ดิฉันพยายามมองหาป้ายชื่อของ อส. ซึ่งไม่มีติดที่หน้าอก และไม่มีป้ายชื่อคล้องคอ เห็นแต่ลูกกะตาที่มีแต่ความน่าสงสัย ด้วยท่าทีลุกรี้ลุกลนของเขาทำให้ดิฉันสนใจเป็นพิเศษ แต่ไม่สามารถบอกได้เลยว่าอาสาสมัครท่านนี้ของกรมการปกครองมีหน้าตา อย่างไร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน กรมการปกครองน่าจะสนับสนุนและรณรงค์ให้อส.ของกรมของตนเอง คล้องคอด้วยป้ายชื่อที่มีรูปถ่ายหน้าตาที่ชัดเจน พร้อมกับมีชื่อนามสกุล และตำแหน่ง เพื่อแสดงตัวว่ามิใช่เป็นโจร หรืออาชญากร เพียงเครื่องแบบอาสาสมัครของกรมการปกครองนั้นมิเพียงพอแก่การให้ข้อมูลแก่ประชาชน และมาขอดูข้อมูลของประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อตรวจตราความสงบเรียบร้อย
5) ดิฉันได้มีโอกาสดูโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือชวนเชื่อให้คนไทยสวมผ้าปิดปากปิดจมูก ด้วยคำพูดว่า”ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน” การใส่หน้ากากตามความหมายดั้งเดิมนั้นหมายถึงการไม่มีความจริงใจต่อกัน การปิดบังแอบแฝงซ่อนเร้น หลายปีก่อนอาจารย์อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัยกุล ได้แปลหนังสือเรียนชื่อ “เบื้องหลังหน้ากาก” สำหรับนักวิจัย และนักมานุษยวิทยา เพื่อการทำงานเก็บข้อมูลและศึกษาวิจัยในพื้นที่ สำหรับแวดวงการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น กลุ่มผู้ปฏิบัติงานด้านสื่ออาจคิดว่าท่านคิดค้นและสร้างสรรค์คำพูดเผยแพร่ได้สวยหรู โดนใจ เก๋ เท่ห์ ท่านอาจจะคิดว่าเป็นเพียงกายภาพเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าท่านคือสื่อที่สามารถสร้างบรรทัดฐานบางอย่างให้กับสังคมได้โดยที่ท่านไม่รู้ตัว การที่คนไทยจะใส่หน้ากากเข้าหากัน แสดงว่าเราจะต้องมีสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้น แสดงถึงความไม่จริงใจต่อกัน แล้วเราจะไปแสวงหาน้ำใจ ความเป็นคนนไทยกันได้อย่างไรในสังคมยุคปัจจุบัน เราจะต้องสวมหน้ากากเข้าหากันไปอีกนานเท่าไร และมันคือความยั่งยืนของการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพของสังคมใช่หรือไม่
6) วิธีการรณรงค์เพื่อป้องกันไข้หวัด 2009 และโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้นั้น ประเทศไทย และกระทรวง ทวง กรม ควรจะมีวิธีการรณรงค์อย่างแยบคาย มีกลยุทธ์ และอย่างน้อยแสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่อยู่บนฐานองค์ความรู้ภูมิปัญญาของประเทศเรา มากกว่าการสร้างค่านิยมใหม่ที่เป็นสิ่งแปลกปลอม ตามตะวันตก สร้างความเสื่อมในสังคม สร้างความเสื่อมถอยในการศรัทธาองค์ความรู้ภูมิปัญญาของท้องถิ่นไทย ดิฉันกำลังจะบอกว่า การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ดีที่สุดคือ การดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ “อาหารคือยา” บริโภคพืชผักพื้นบ้านที่สร้างภูมิคุ้มกันและมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักคาวตอง ฟ้าทะลายโจร ผักเซียงดา เป็นต้น การดูแลสุขภาพใจด้วยการ ชำระล้างจิตใจให้สะอาด ผ่องใส คลายความเครียด ออกกำลังทางจิตใจบ้างด้วยการทำจิตให้สงบนิ่ง การสร้างเสริมคุณภาพทางจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ด้วยการสร้างศรัทธาในใจ เพิ่มหรือเสริมขวัญกำลังใจด้วยการเรียกคืนชีวิตรวมหมู่ หรือ คือการใช้ชีวิตแบบ “สังฆะ” และลดการใช้ชีวิตแบบ “ปัจเจก” ให้เหลือน้อยที่สุด
การรณรงค์ในบ้านเราอาจยังไม่ใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสังคมไทย แต่ในขณะเดียวกันเราต้องเรียนรู้ และเปิดกว้างที่จะปรับให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านของเราด้วย อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่ระดับสูงในสังคมไทยเปิดใจมากเพียงไร การมีเพียง “เงิน” หรือ “งบประมาณ” ในการดำเนินงานนั้น บางครั้งไม่สามารถสร้างความตระหนักรู้ได้อย่างแท้จริง ต้องอาศัยปัญญา ความกล้า และความอดทนด้วย
.....................................................................
ขอขอบคุณอาจารย์เสรี พงศ์พิศ และอาจารย์เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ผู้จุดประกายแนวคิดในการดำเนินงานและการดำเนินชีวิต
ขอขอบคุณน้องเก็ดถวาผู้ให้ยืมภาพจากเอ็นทรี่
http://www.oknation.net/blog/gedtawa/2009/07/09
ไม่มีความเห็น