ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนหลาย ๆ ท่าน เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้ โดยเฉพาะการจัดการเรียนรู้ที่เรียกว่า “เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” นึกหาตัวอย่างที่เหมาะใจ สำหรับอธิบายให้คุณครูฟังไม่ได้ วันนี้ไปเดินซื้อต้นไม้ที่ร้านขายต้นไม้ ได้เห็นคนสวนกำลังปลูกต้นไม้ ได้เข้าไปพูดคุยเลยทำให้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
คนสวนเขารู้จักต้นไม้เป็นอย่างดีว่า ต้นไหนชื่ออะไร เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์อะไร มีถิ่นกำเนิดที่ไหน ( คุณครูก็รู้จักเด็กเป็นรายบุคคลเหมือนกัน ) นอกจากนี้คนสวนยังรู้ว่าต้นไม้แต่ละชนิด ชอบดินอย่างไร แสงแดดเพียงใด ชอบน้ำหรือไม่ ชอบอากาศอย่างไร (คุณครูก็ควรจะรู้จัก Learning Style ของนักเรียนแต่ละคนว่า จะเรียนรู้ได้ดีโดยวิธีใด) เมื่อทราบข้อมูลต่าง ๆ แล้ว คนสวนก็จะลงมือปลูกต้นไม้นั้น และเฝ้าดูแลบำรุงรักษาตามความชอบของต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้นั้นเจริญงอกงาม (คุณครูก็จะจัดการเรียนการสอนตามความชอบ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนโดยคำนึงถึง Learning Style ของผู้เรียนเป็นหลัก) คนสวนจะคอยเฝ้ากำจัดวัชพืช และแมลงที่จะมารบกวนไม่ให้ต้นไม้นั้นงอกงาม (คุณครูก็ต้องคอยจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศให้เอื้อต่อการเรียนรู้) เมื่อปลูกไปได้สักระยะหนึ่ง คนสวนก็จะคอยสังเกต (ประเมินผล) ว่าต้นไม้นั้นเจริญงอกงามได้ดีมากน้อยเพียงใด เมื่อต้นใดแสดงอาการว่าจะไม่งดงาม หรือใบเปลี่ยนสี คนสวนก็จะต้องให้ปุ๋ย โดยจะต้องมีความรู้ว่าถ้าอาการของต้นไม้เป็นอย่างนี้จะต้องให้ปุ๋ยอย่างไร (คุณครูก็ต้องประเมินผลว่านักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์หรือไม่ ถ้านักเรียนคนใดแสดงอาการให้เห็นว่าจะไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ คุณครูก็ต้องจัดการซ่อมเสริมให้ ซึ่งคุณครูก็ต้องรู้ว่าจะใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมใดในการซ่อมเสริมให้แก่นักเรียน)
ใครที่เคยไปร้านขายต้นไม้ คงจะสังเกตเห็นว่า เขาจะจัดต้นไม้ไว้เป็นกลุ่มเป็นพวกตามความชนิดและความชอบของต้นไม้ พวกที่ชอบแดดจัดก็จะถูกจัดวางไว้กลางแดด พวกที่ชอบแดดรำไรก็จะจัดไว้ในที่ที่มีวัสดุพรางแสง ไม้ในร่มก็จะอยู่ในชายคาของร้านที่ได้รับแสงน้อย ( คุณครูเราจัดแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเหมือนกัน แต่ให้ปุ๋ยให้น้ำเหมือนกันหมดเลย) เราจะสังเกตได้ว่าคนสวนเขาปลูกต้นไม้และดูแลรักษาตามสภาพของต้นไม้แต่ละชนิดแต่ละต้น เขาสามารถบอกได้ว่าต้นไม้ชนิดนี้ใช้เวลาในการเพาะต้นกล้าเท่าไรจึงจะย้ายไปปลูกลงดินหรือกระถางได้ ถ้าเร็วกว่านั้นต้นกล้าก็จะไม่แข็งแรงอาจจะตายได้ หรือถ้าปล่อยไว้นานเกินไปต้นกล้าก็อาจจะมีรากที่ยาวเกินไป เมื่อจะย้ายไปปลูกลงกระถางหรือลงดิน ก็จะทำให้รากขาดหรือกระเทือน ต้นไม้ก็อาจจะตายได้เช่นกัน ( คุณครูของเราสามารถบอกได้หรือไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าใดนักเรียนจึงจะอ่านออกเขียนได้ นักเรียนจะมีคุณภาพอย่างไรในเวลา 1 ภาคเรียนหรือ 1 ปี )หากคุณครูใช้การสังเกตและประเมินผล(วิจัย)ควบคู่ไปกับการทำงานในหน้าที่ คุณครูก็คงจะบอกได้ว่านักเรียนของคุณครูต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เท่าใดจึงจะเกิดคุณภาพตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
ถ้าคุณครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามความชอบ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนโดยยึด Learning Style ของเด็กแต่ละคน นักเรียนได้แสดงบทบาทในการเรียนรู้เอง คุณครูเป็นเพียงผู้คอยจัดสถานการณ์และอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ นักเรียนก็จะเรียนรู้อย่างมีความสุข และได้พัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ได้ถึงขีดสุด คุณครูก็จะเหมือนคนสวนที่เฝ้าปลูกต้นไม้และบ่มเพาะเมล็ดพันธุทางปัญญาให้เกิดแก่อนาคตของชาติ
ขอบคุณมากค่ะ อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น
ขอขอบคุณค่ะ สำหรับกำลังใจ ที่ติชมค่ะ