ตาเหลิม
นาย วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

14. เมื่อพ่อป่วย


ยังไงคนเราก็ต้องตายอยู่ดี แต่ก็ไม่รู้นะว่าใครจะตายก่อนกัน ใช้ชีวิตอย่าประมาทนะลูก

 

.

.

.

อาทิตย์ก่อน  เมื่อวันเสาร์(22 ส.ค.)ที่ผ่านมา หลังจากไปเป็นวิทยากรเรื่องเพศสัมพันธ์และค่านิยมเรื่องเพศที่ปลอดภัย ให้กับน้องๆ ในโครงการคิดดี 5 ของ สสส. ที่มหาวิทยาลัยเซนจอห์น (เดี๋ยวจะค่อยๆ บันทึกละกันครับ)

ตอนเที่ยง ผมได้รับเมสเสจจากแม่ว่า เฮ้ย พ่อป่วยน่ะ รู้จักลงมาดูบ้าง” เพียงแค่ข้อความนี้ ข้อความเดียว ผมคิดไปตลอดครึ่งวัน ก่อนจะโทรหาแม่ตอนสองทุ่ม (เพราะแกไปออกกำลังกาย น่าจะเต้นแอโรบิคเสร็จพอดี)  

ก่อนหน้าที่จะได้โทรหาแม่ ผมคิดว่า พ่อจะตายหรือยัง และ ป่วยเป็นไรหว่า และ มะเร็งรึเปล่า และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อนไปถึงจุดนั้น ... ผมรู้สึกไม่สบายใจมาก ถึงมากที่สุด และสัมผัสได้ว่า ดวงจิตของผมได้ไปอยู่กับที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่อ่านข้อความจบ...  

ผมตัดสินใจหยุดนิ่ง ใคร่ครวญ ตรึกตรอง ก่อนจะที่จะโทรหาแม่เพื่อที่จะได้คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ และนึกขึ้นได้ว่า อ้อ นี่ไม่ได้คุยกับแม่เกือบจะหนึ่งเดือนแล้วนี่นา จนมีเมสเสจนี้

ระหว่างนั้น ตัวผมเองมีการระลึกถึงเรื่องราวต่างๆ ส่วนใหญ่ที่นึกออก จะเป็นบทสนทนาภายในครอบครัว ที่พวกเราทั้งพ่อแม่ผมและน้องๆ มักจะพูดคุยกันตอนกลางคืนเสมอๆ (เรียกว่าบ่อยมาก)  เช่น ถ้าพ่อหรือแม่ตายไป ตื่นขึ้นมาก็ดูแลกันด้วยนะลูก หรือ พ่อกับแม่บริจาคร่างกายไว้แล้วกับ รพ.ขอนแก่น วิธีง่ายๆ ถ้าพ่อกับแม่ตายไป ก็โทรแจ้งรพ.ขอนแก่นนะลูก ไม่ต้องมาหวงศพไว้ เพราะยังไงก็ตายไปแล้ว จะได้ไปสอนคนอื่นๆเค้าให้มาเป็นหมอ หรือ มรดกแบ่งเท่าๆกันนะ อย่าโกงกันนะลูก หรือ ไม่รู้ว่าบ้านเรา ลูกกับพ่อแม่ใครจะตายก่อนกัน หรือ แม่ว่ายังไงมันก็ต้องตายกันหมดแหละ แต่ว่าตายแบบไหน ตายมีประโยชน์รึเปล่านี่สิ

พอคิดเท่านั้น ก็ตระหนักแล้วว่า ท่านทั้งสองได้เตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมีสติ และเรียบร้อยดีแล้ว เท่านั้นก็วางใจ และสบายใจขึ้น

อีกอย่าง ผมว่าสองคนนี้เตรียมพร้อมไว้เยอะแล้ว โดยปกติสองคนนี้มีมุมมองทางศาสนาเปิดกว้าง และเคารพในทุกศาสนา ที่สำคัญเปิดกว้างในการแลกเปลี่ยนเรื่องความตาย และการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งสร้างกรรมดี แก้กรรมของเก่า ทำบุญทำทาน ไปวัด ไปปฏิบัติธรรม ฯลฯ รวมถึงการอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตที่ต้องประสบกับภาวะโรคแทรกซ้อนท่านทั้งสองก็อ่านกันไปหลายแล้ว อาทิ เมื่อหมอเป็นมะเร็ง ชีวจิตต่างๆ ฯ เป็นต้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าพ่อกับแม่จะมีสติดีอยู่   

และผมก็คิดเลยเถิดไปถึงหนังที่พึ่งดูจบไปเมื่อคืนวันพฤหัสบดี เรื่อง The Bucket Listsเรื่องนี้มอร์แกน ฟรีแมน เล่นกับ ดาราสูงอายุอีกคน ที่ผมลืมชื่อ เป็นเรื่องของชายสูงอายุสองคน ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และทั้งสองคนเมื่อรู้ว่าชีวิตเหลือน้อยแล้ว จึงเริ่มออกเดินทางใช้ชีวิต ท่องเที่ยว ทำเรื่องที่ตัวเองยังไม่เคยทำ และรวมไปถึงเรื่องความฝันวัยเด็กที่เคยหลงลืมไป สุดท้ายทั้งสองคนก็กลับมาที่ชีวิตและครอบครัว หนังจบลงด้วยการตายของทั้งคู่ แต่เป็นการสื่อสารเรื่องความตายที่ช่วยทำให้คนเข้าใจได้ง่ายขึ้นกับชีวิต โดยเฉพาะกับสังคมแบบอเมริกัน (ผมว่าคนไทยก็ดูได้นะ ดีด้วย)

ระหว่างที่กำลังคิดเพลินๆ ผมโทรกลับไปคุยกับแม่ พบว่า อีกหนึ่งอาทิตย์จึงจะรู้ผลตรวจว่าเป็นโรคอะไร ... แม่บอกว่า ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจมะเร็งน่ะลูก แต่ตอนนี้ พ่อแกกำลังไปดูแผ่นดีวีดีอยู่ แม่ว่าไม่น่าห่วงแล้วละ พอออกมาจาก รพ.ก็ไปหาหนังมาดูได้ สงสัยจะแกล้งป่วย แล้วเราก็หัวเราะอย่างรู้กัน

พ่อแกก็ใช้ชีวิตเปื่อยๆ มาตั้งแต่เป็นหนุ่ม กินเหล้า สูบบุหรี่ ใช้ชีวิตสนุกซะเหลือเกิน ส่วนแม่ก็รักสุขภาพซะเหลือเกิน กินน้ำผักปั่นๆ (ซึ่งก็เหลือมาถึงพ่อ ผม และน้องๆ ประจำ) ออกกำลังกายทุกวัน (จริงๆ จะมีบางวันเท่านั้นที่ไม่ออกกำลังกาย เช่น เพราะฝนตก) มีช่วงหลังๆ เมื่อซักสิบปีมานี้ ที่พ่อลดอัตราการสูบบุหรี่ต่อวันลง เหลือวันละไม่กี่มวน และอัตราการดื่มลดลงอย่างมาก รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอซึ่งดีต่อสุขภาพพ่อเอง

ความกังวลของผมในเรื่องอาการป่วยหายไปทันที หลังจากคุยกับแม่เสร็จ แต่เราก็เลยเปลี่ยนหัวข้อการคุยเป็น แล้วเราจะจัดงานศพแบบไหนดี เชิญใครมั่ง สวดโลงเปล่า หรือจะรอตอนพระราชทานเพลิงศพ ค่อยเชิญแขกดี สรุปพ่อยังไม่ตายนะครับ แต่เตรียมกันไว้ก่อน พอถึงเวลาจะได้มีสติ และไม่ลนลาน อันนี้พ่อรับได้แกน่าจะช่วยลิสต์รายการหลายๆ อย่างให้ด้วย และผมก็จะเริ่มเขียนบันทึกถึงพ่อบ้าง เพราะมีเรื่องราวหลายอย่างที่พ่อแนวๆ แบบพ่อผมทำไว้ให้ดู

เมื่อเช้านี้ (25 ส.ค.) ผมโทรหาแม่ แม่บอกว่า ตรวจแล้ว พบว่าไม่เป็นไร แต่หมอจะขอตัดชิ้นเนื้อบริเวณอื่นๆ (ใกล้เคียง) ไปตรวจอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ แล้วเราก็คุยกันอีกครั้งว่า น่าจะชวนพ่อเขียนรายการสิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย จะได้พากันไปทำ เรื่องนี้ แม่บอกว่าให้ลูกกับพ่อคุยกันเองดีกว่า...

นอกเหนือไปจากเรื่องนี้ แม่แนะนำเรื่องการจุดธูป เทียน พร้อมเครื่องบูชาไหว้(ส้ม กล้วย แก้วมังกร และมะพร้าวอ่อน) ขอพรจากพระแม่ธรณี แม่มาแนวไสยศาสตร์ แต่เพื่อความสบายใจของแม่ ผมจะลองทำดู แต่ทั้งนี้ ผมก็ได้บอกแม่ไปแล้วว่า แม่รู้นะว่าเรื่องนี้มันไม่ค่อยจะเป็นความเชื่อแนวพุทธซักเท่าไหร่ อันนี้แม่เห็นด้วย แต่เห็นว่าหลายคนทำแล้วดีขึ้น และย้ำอีกว่า ต้องลองเองถึงจะรู้ ผมเลยย้อนแกไปว่า แม่อย่าลืมนะ ว่ากาลามสูตรสอนว่าอย่างไร อย่าเชื่อเพราะเป็นพ่อแม่ อย่าเชื่อเพราะบอกต่อๆกันมา

แม่หัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกลูก ลองทำดูจะได้สบายใจ แล้วที่สำคัญของไหว้ พอไหว้เสร็จ ลูกก็เอามากินได้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ไม่ได้ไหว้เสียเปล่า (แม่เสนอไอเดียกิ๊บเก๋ และมุมมองต่อการไหว้ที่ทำให้ผมยิ้มได้) เลยบอกแม่ไปว่าจะลองทำดู ไม่วันนี้ ก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้

แม่ยังมีเสียงหัวเราะ และมุมมองที่น่าสนุกเสมอ นี่ยังไม่ได้คุยกับเจ้าตัวที่เป็นคนป่วยเลยนะครับ ผมเชื่อว่า ถ้าได้คุยกับเจ้าตัว พ่อเองก็คงจะบอกว่า ปล่อยให้ฉันตายเถอะ เดี๋ยวไปขอเจ้าพ่อเจ้าแม่ เกิดฉันอยู่ได้อีกสามสิบปี มันจะลำบากเปล่าๆ

แล้วภาพในหนังเรื่อง The Bucket Lists ก็ย้อนเข้ามา พร้อมกับประโยคของแม่ที่บอกว่า ยังไงคนเราก็ต้องตายอยู่ดี แต่ก็ไม่รู้นะว่าใครจะตายก่อนกัน ใช้ชีวิตอย่าประมาทนะลูก

 

เราบอกรักกัน และวางสาย

 

ผมเริ่มเขียนบันทึกนี้ ...   

 

หมายเลขบันทึก: 290879เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2009 13:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 08:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ทำอย่างที่แม่บอกก็เพื่อความสบายใจจริง ๆน่ะค่ะ

ที่เหลือก็ต้องให้คุณหมอช่วยตรวจร่างกาย และรักษากันไปตามอาการค่ะ

คุณพ่อคุณตาเหลิมสู้ ๆ ค่ะ

  • หนังเรื่องนี้น่าสนใจนะคะ
  • การมีชีวิตด้วยความไม่ประมาททำให้เราไม่พลาดการเจริญสติ เป็นการมองชีวิตตามสัจธรรมที่น่ายกย่องมากค่ะ
  • พระคุ้มครองคนดี คุณพ่อคุณแม่ของคุณเหลิมสุขภาพจิตดี ร่างกายก็ย่อมแข็งแรงด้วยค่ะ

น้องต้าร์ที่เคารพรัก,

ขอบคุณมากสำหรับการแบ่งปัน

เป็นการบอกว่าในแต่ละย่างการใช้ชีวิตให้มีสติ

การเตรียมพร้อมเป็นการดีเสมอ ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง เข้าใจว่ากับตัวเองนั้นเป็นเรื่องง่าย กับคนรอบข้างนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากกว่า

แต่การเตรียมและการพูดคุยไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี

เราก็ได้ดูหนังเรื่องนี้ด้วยน่ะ ก็ดี

เป็นการบอกว่า จะทำอะไรก็ให้มีสติและก็ทำ ๆ ซะ

หลาย ๆ ครั้ง เรา ๆ จะภูมิใจนักหนากับคำ่ว่า "ทำได้"

เราว่า มันจะมันส์กว่ามากถ้า "ได้ทำ"

ว่าแล้วก็คุณน้องต้าร์มีได้ทำ list ไว้บ้างหรือเปล่า

ลองร่าง ๆ ดู ให้ขำ ๆ ก็ได้น่ะ

ขอบคุณอีกครั้งจ้า

--

แหว๋ว

สู้ ๆ เพื่อน

มีสติดีที่สุด ที่มึงคิดก็ถูกแล้วล่ะ

กูเข้าใจ ^^

ตอนที่แม่กูป่วย

กูร้องไห้ทุกวันกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เพราะกูกลัวแม่กูตาย

มันรู้สึกจุกอกบอกไม่ถูกนะตอนนั้น

รู้แค่ว่ากูไม่อยากให้แม่กูตาย นั่งร้องไห้นอนร้องไห้ทุกวัน

มึงรู้มั๊ยว่ากูหยุดร้องวันไหน

วันที่แม่กูตายต่อหน้ากูในมือของกู

กูมีความรู้สึกว่าแกไม่ทรมาน แกสบายแล้ว จริงๆนะ

กูไม่ร้องไห้เลย แต่หลัง ๆมันรู้สึกเหงาก็มีร้องไห้(บ่อย)บ้าง อิอิ

ก็แหม แม่กูทั้งคนนี่หว่า ^^

พอมานั่งนึกดู สรุปแล้วกูว่ากูไม่อยากเห็นคนที่กูรักต้องทรมานมากกว่าว่ะ

ยังไงก็ขอให้พ่อ(มึง)อายุยืนๆ ละก็แข็งแรงมาวิ่งรอบทุ่งศรีเมืองแข่งกะพ่อกูนะ ^^v

ไม่ได้เจอมึงนานคิดถึงมึงนะ ^^

ลืมๆ ^^

ขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ใช้คำไม่สุภาพ

อิอิ ^^"

ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆที่สำคัญนี้ให้ได้แง่คิดกัน

พี่ว่าการที่คนรุ่นก่อนมีความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น พระแม่ธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ เป็นเรื่องดี ทำให้การใช้ชีวิตนั้นอยู่ด้วยความนอบน้อมต่อธรรมชาติ ทำให้ทุกขณะจิตมีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป คิดถึงการทำความดีเพราะรู้ว่ามีเทพาอารักษ์ ผีสาง นางไม้คอยมองอยู่ ความสุขและกำลังใจของมนุษย์เดิมนั้นก็มาจากธรรมชาตินี่แหละค่ะ หากเราเข้าใจก็ไม่ขัดต่อการปฏิบัติและแนวคิดในเชิงพุทธศาสนานะคะ

ชอบใจที่คุณแม่บอกว่าของไหว้ก็เอามากินได้ไม่ได้เสียเปล่า

ความเข้าใจและการยอมรับในเรื่องความเป็นปกติของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ครอบครัวคุณเป็นตัวอย่างที่ดีมากนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท