เช้าวันหนึ่ง .. ในขณะที่ฉันกำลังนั่งซักประวัติผู้ป่วยที่มารับการตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกเหมือนดังเช่นทุกวัน มีพระภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่ง เดินมาด้วยสีหน้าเหยเก เวลาที่จรดเท้าขวาสัมผัสกับพื้น ฉันรีบนิมนต์ท่านนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่าง “นิมนต์นั่งค่ะท่าน “ “อาตมาจะมาผ่าตาปลาที่เท้าขวาเพราะตอนนี้เจ็บมากจนแทบไม่อยากเดิน” ท่านเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังไม่ทันได้ทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ “อาตมาเคยมารักษาครั้งหนึ่งแล้วได้ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อไปฉันที่วัด เบาลงได้นิดเดียว เวลาเดินบิณฑบาตอาตมาก็เจ็บอีก วันนี้อาตมาจึงตั้งใจจะมาผ่าออก จ้างรถมารออยู่หน้าโรงพยาบาล แต่ตอนบ่ายสองอาตมามีกิจนิมนต์ที่วัด” “เดี๋ยวนี้การรักษาตาปลาไม่ต้องผ่าแล้วค่ะ ใช้วิธีขูดตาปลาออกค่ะท่าน” “แต่อาตมาไม่มั่นใจและวันนี้อาตมาก็ตั้งใจมาแล้วว่าจะผ่า” สิทธิผู้ป่วย วลีนี้ผุดขึ้นในใจ เมื่อท่านยืนยันความตั้งใจ ฉันจึงให้ท่านรอ ส่วนฉันเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉินเพื่อดูว่ามีเตียงว่างพอที่จะให้บริการผ่าตาปลาตามที่พระท่านต้องการหรือไม่
เมื่อถึงหน้าห้องฉุกเฉินความตั้งใจของฉันชะงักลงทันที เมื่อกวาดสายตาตั้งแต่หน้าห้อง ด้านซ้าย ด้านขวา ทุกเตียงที่รอรับบริการผู้ป่วยในห้องฉุกเฉิน ไม่ว่างแม้แต่เตียงเดียว มีทั้งผู้ป่วยอุบัติเหตุที่เลือดสาดกำลังร้องโอดโอย บ้างก็เหนื่อยหอบต้องให้ออกซิเจน บ้างก็กำลังโก่งคออาเจียน และหน้าห้องยังพบผู้ป่วยรถเข็น นั่งจ่อคิวรอเข้ารับบริการอีกหลายคน แม้กระทั่งม้านั่งแถวยาวหน้าห้องฉุกเฉิน ยังเต็มไปด้วยผู้รอรับบริการฉีดยา ทำแผล นี่เองซินะที่ห้องฉุกเฉินต้องนัดคนไข้ที่ทำหัตถการทั่วไปมาช่วงบ่าย เพราะช่วงเช้าทำไม่ได้จริงๆ ฉันคิดในใจ เมื่อความตั้งใจที่จะนำพระภิกษุรูปนั้นมาผ่าตาปลาที่ห้องฉุกเฉินมีอันต้องพับไป ฉันเหลือบสายตาขึ้นมองนาฬิกาบนผนัง บอกเวลา 10.15 น. ตามข้อตกลงที่โรงพยาบาลกำหนด ผู้ป่วยที่เป็นพระมารับบริการของโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าต้องให้บริการสิ้นสุดก่อนเพล (11.00 น.) เพราะเดี๋ยวจะเลยเวลาพระฉันภัตราหารเพล เอ้..แล้วเราจะทำอย่างไรดีนะ ไม่มีที่ ไม่มีเวลา ไม่ศรัทราในแผนการรักษาที่เสนอ แต่...เราในฐานะผู้ให้บริการ ต้องให้บริการที่ประทับใจกับผู้ใช้บริการ ฉันครุ่นคิดขณะเดินกลับมายังจุดปฏิบัติงานที่หน้าห้องตรวจโรค ผู้ป่วยที่รอซักประวัติเริ่มบางตาพอที่เพื่อนร่วมงานอีกสองคนของฉันจะรับมือได้อย่างสบายๆ มองไปยังห้องตรวจพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจของงานผู้ป่วยนอกที่เปิดว่างอยู่ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นกลางใจ ฉันทรุดตัวลงนั่งสบตากับพระตรงหน้า “ ตอนนี้ห้องฉุกเฉินไม่สามารถรับผ่าตาปลาได้ เพราะมีผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินรอรับบริการอยู่หลายรายค่ะ” “ไม่เป็นไรอาตมารอได้ถึงบ่ายสอง ” “ตาปลาที่ฝ่าเท้าท่านมีกี่ที่คะ” “ห้าแห่งทั่วฝ่าเท้าเลย” “โอ้โห!!! ตั้งห้าแห่ง ถ้าผ่าแล้วจะเดินอย่างไรค่ะท่าน แต่ถ้าขูดตาปลา ขูดแล้วเดินได้ค่ะ ดิฉันรับรอง และถ้าท่านยืนยันจะผ่าจริงๆ ต้องให้ท่านไปฉันเพลก่อน แล้วบ่ายโมงค่ะถึงเริ่มผ่า แต่ถ้าขูดตาปลาทำได้เลยค่ะ แล้วไม่ถึงเพลก็เสร็จเรียบร้อย กลับไปพักที่วัดได้พักใหญ่ค่อยไปกิจนิมนต์ สบายๆ เลยค่ะ ... แต่ถ้าท่านจะรอผ่าตาปลาช่วงบ่าย ทั้งห้าที่ ไม่ทันกิจนิมนต์แน่ๆคะท่าน” “อ้าวไหนว่าห้องฉุกเฉินไม่ว่างแล้วจะทำที่ไหน” “ในห้องนี้ไงคะ” ฉันผายมือไปยังห้องตรวจพิเศษที่ ว่างอยู่ “ เอ้าลองดูก็ได้ ไหนๆ ก็เสียเวลามาแล้ว“
และแล้วการขูดตาปลาก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อขูดตาปลาไปได้สักพัก ฉันจึงถามพระว่า “เจ็บไหมคะท่าน” “ไม่เจ็บหรอกแต่อาตมาสงสัย ไม่เคยได้ยินเลยไอ้ขูดตาปลาเนี่ย พึ่งได้ยินก็นี่แหละ” “จริงๆ ก็มีมานานแล้วค่ะท่าน ที่รพ.มีมาเกือบสองปีและดิฉันก็ทำหน้าที่ขูดตาปลามาตลอดค่ะ แต่ส่วนใหญ่ทำในผู้ป่วยเบาหวานค่ะ” จากนั้นฉันก็ก้มหน้าก้มตาขูดตาปลาทั้งห้าแห่งทั่วฝ่าเท้าด้วยเกรงว่าจะไม่ทันเพลของพระภิกษุรูปนี้ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนค่ะท่าน จะนัดท่านมาขูดตาปลาในวันพุธหน้า ตั้งแต่บ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง ยื่นบัตรเสร็จก็นั่งคอยหน้าห้องฉุกเฉินได้เลยค่ะท่าน” ฉันพูดหลังขูดตาปลาทั้งห้าแห่งทั่วฝ่าเท้าบางลงจนเกือบขูดไม่ได้
บ่ายวันพุธที่ฉันนัดพระภิกษุรูปนั้น และผู้ป่วยเบาหวานอีกหลายรายไว้ มาเข้าคลินิกสุขภาพเท้าที่ฉันและผู้ร่วมงานอีกคน ดำเนินงานในคลินิกอยู่ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันในห้องอาหารเสร็จ ฉันเดินมาถึงตู้ทำน้ำเย็นหน้าห้องเอ็กซเรย์ใกล้ๆกับห้องฉุกเฉิน หยิบแก้วกระดาษมารองน้ำยกขึ้นดื่ม ยังไม่ทันจะกลืนน้ำลงไปก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานตะโกนขึ้นมาว่า “แฉ่งพระมาคอยเอ็งขูดตาปลาตั้งแต่เที่ยงครึ่งแล้ว” “นิมนต์ขึ้นเตียงเลยพี่ “ ฉันบอกตอบไป “ยังไม่บ่ายโมง” ฉันเดินลิ่วเข้ามาในห้องฉุกเฉินตรงไปยังเตียงที่พระรูปที่ฉันนัดไว้นอนอยู่ พร้อมเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้างคะท่าน เวลาเดินยังเจ็บอยู่ไหม” “ดีขึ้นมากเลยโยม ไม่เจ็บแล้ว” “แต่จะเป็นขึ้นมาใหม่อีกได้นะคะ ถ้าท่านไม่ใส่รองเท้าเวลาเดิน” ฉันรีบฉวยโอกาสให้คำแนะนำเมื่อพระเกิดความศรัทธาในวิธีการรักษาตาปลาในปัจจุบัน “และรองเท้าที่ใส่ต้องนุ่ม ไม่แข็ง...” “อาตมากลัวอาบัติเป็นพระใส่รองเท้าไม่ได้โดยเฉพาะตอนบิณฑบาต” เสียงพระดังสวนขึ้นมาทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบ “แต่ท่านก็ถือเป็นภิกษุอาพาตที่เป็นข้อยกเว้นไม่ใช่หรือคะ” “อึม!! ก็จริงของโยมนะ” จากนั้นฉันก็ก้มหน้าก้มตาขูดตาปลาต่อ “โยมรู้ไหมหน้าที่ของโยม ได้ถึงสามสิ่ง หนึ่งได้เงินเดือน สองได้ประสบการณ์ สามได้บุญ ช่วยคนพ้นทุกข์นะโยมได้บุญสูง ขอบใจโยมมากนะ นี่ถ้าอาตมาดื้อดึงจะผ่าท่าเดียว ป่านนี้ได้ระบมไปทั้งเท้า และยังต้องวิ่งทำแผลอีกไม่รู้กี่วัน” ความปีติแผ่ซ่านไปทั่วตัวฉัน สุขใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากขูดตาปลาเสร็จ ฉันนัดวันที่จะติดตามการรักษาและไม่ลืมที่จะย้ำเรื่องรองเท้าอีกครั้ง คราวนี้ท่านไม่ปฏิเสธ จากนั้นฉันก็สาละวนกับการเก็บอุปกรณ์เพื่อเตรียมรับผู้ป่วยคนต่อไปเข้ามาขูดตาปลา เมื่อเดินจะมาเรียกผู้รับบริการรายต่อไปขึ้นเตียง ก็ต้องแปลกใจเมื่อพระยังนั่งอยู่บนเตียง ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามว่าท่านรออะไร ท่านก็ล้วงมือลงไปในย่ามและหยิบห่อขนมถุงเขื่องออกมาพร้อมกับพูดว่า “ขนมบิณฑบาต อาตมาเอามาฝากโยม” ข้าพเจ้ายกมือไหว้ขอบคุณ เมื่อพระเดินจากไป เพื่อนร่วมงานที่กำลังทำแผลเตียงข้างๆพูดขึ้นอย่างติดตลกว่า “สี่ได้ของฝากจากพระ …”
จากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ฉันรู้ว่า ความสุขจากการทำงาน อยู่ที่การที่เรา ได้ทำสิ่งดีๆให้กับคนไข้ หรือผู้ใช้บริการ และผลลัพธ์จากการที่ผู้ใช้บริการพึงพอใจและมีความสุข คือกำไรที่ให้กับเราในการได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก และภูมิใจ
อยากเรียนรู้การขูดตาปลา กับคุณแฉ่งแล้วซิ
พึ่งเข้ามาอ่านหวังว่าคงไม่ช้าเกินไปนะคะ ขอเป็นกำลังใจในการทำงานนะคะ
อยากทราบรายละเอียดการขูดตาปลาจังค่ะ ตอนนี้เป็นตาปลาอยู่น่ะค่ะ ไม่อยากผ่าตัดเลย T.T