ในแผนกสูติกรรมที่โรงพยาบาลรามัน จะมีผู้ป่วยคลอดเฉลี่ย 100 คนต่อเดือน มีทั้งผู้ป่วยในและนอกเขตจังหวัดใกล้เคียง และเมื่อพูดถึงความเชื่อแต่ละคนก็จะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน ยิ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วนั้น จะมีความเชื่อที่หลากหลายตามเชื้อชาติ ศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อก่อนคลอดหรือพิธีกรรมก่อนคลอด
ข้าพเจ้าเคยเห็นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็น การกินน้ำมนต์ก่อนคลอด การใช้น้ำมันที่ผ่านการทำพิธีมานำมานวดที่หน้าท้องหรือดื่มกินก่อนคลอด หรือจะเป็นการแช่ดอกติติฟาติมา(ดอกไม้แห้งนำจากประเทศซาอุดิอาระเบียแช่ในน้ำให้ดอกบาน เพื่อให้คลอดง่าย) ระหว่างที่มีการเจ็บครรภ์คลอด ความเชื่อหรือพิธีกรรมเหล่านี้ทำให้คลอดง่ายและคลอดอย่างปลอดภัยและข้าพเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติสามารถทำพิธีกรรมได้ ถ้าหากพิธีกรรมนั้นไม่ได้ขัดกับแผนการรักษาของแพทย์
เวรบ่ายวันนั้นท้องฟ้ามืดครึมฝนทำท่าจะตก มีผู้ป่วยรอคลอดอยู่ 4 เตียง และมีผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นผู้ป่วยท้องแรก มาโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บครรภ์ ตรวจภายในปากมดลูกยังไม่เปิด นอนอยู่บนเตียงนอนบิดตัวไปมา บ่นปวดท้องและมีญาติเฝ้าอยู่หลายคน สักพักสามีผู้ป่วยได้เดินเข้ามาและเอ่ยว่า
“ บอมอ...เมื่อไหร่เมียผมจะคลอด ”
“ จะคลอดต้องรอให้ปากมดลูกเปิด 10 เซนติเมตร จึงจะคลอดได้ ตอนนี้ถ้าปวดมากให้สามีผู้ป่วยหรือญาตินวดบริเวณหลังเป็นเลข 8 ” พร้อมสาธิตวิธีการนวดให้ดู สามีผู้ป่วยและญาติพยักหน้าแต่ก็ไม่แน่ใจเข้าใจจริงหรือเปล่า หลังจากนั้นเวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที สามีผู้ป่วยคนเดิมได้เดินกลับมาหาข้าพเจ้าอีกครั้ง พร้อมกับถามข้าพเจ้าว่า
“ บอมอ...ถ้าจะทำพิธีบางอย่างจะได้ไหม เพื่อให้คลอดง่ายและเร็วขึ้น ” ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า “ ทำได้ ไม่เป็นไร ” สามีจึงกลับไปที่เตียงอีกครั้ง
“ จะให้คลอดง่ายยังงัย... ปากมดลูกยังไม่เปิดเลยนะพี่” น้องปูคู่เวรเอ่ยปากถามเมื่อได้ยินสามีผู้ป่วยพูดเช่นนั้น
“ สงสัยจะให้กินน้ำมนต์หรือน้ำมันทาท้องมั้งปู ”
ทันใดนั้น... ข้าพเจ้าหันไปเห็นสามีผู้ป่วยคนดังกล่าวยืนกางร่มใกล้เตียงผู้ป่วย ข้าพเจ้าจึงหันไปบอกน้องปูว่า
“ สงสัยข้างนอกฝนจะตก เห็นสามีผู้ป่วยยืนกางร่มอยู่ แหม ..สามีผู้ป่วยคนนี้เป็นคนเตรียมพร้อมนะ ” แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จู่ๆสามีผู้ป่วยคนเดิมไปยืนอยู่บนเก้าอี้แล้วเอาร่มที่ได้เปิดกางไว้ไปวางบนราวผ้าม่าน แล้วใช้ผ้าขาวม้า 2 ผืนไปวางบนราวผ้าม่านด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ไม่ใช่ข้าพเจ้าและน้องปูเท่านั้นที่มองดูอย่างตกตะลึงและสงสัย แม้แต่ผู้ป่วยและญาติคนอื่นก็คงสงสัยเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน เพราะได้ยินต่างคนต่างกระซิบกระซาบกันว่าเตียงนั้นทำอะไรกัน จึงรีบไปสอบถามที่เตียงผู้ป่วยทันที ว่าทำแบบนี้เพื่ออะไรหรือ สามีผู้ป่วยตอบด้วยความมั่นใจว่า
“ ทำแบบนี้จะทำให้ปากมดลูกเปิดและคลอดเร็วขึ้น” เมื่อได้คำตอบอย่างนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับสามีผู้ป่วยและญาติ ก็ปล่อยให้ญาติได้ทำพิธีตามความเชื่อ แต่ในใจก็แอบคิดว่า กลไกการคลอดมันไม่น่าจะเกี่ยวกับการร่มหรือผ้าขาวม้านี้เลย ในความรู้สึกของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง
“ แล้วจะกางร่มนานแค่ไหน เพราะถ้าจะกางร่มแบบนี้เป็นวันคงจะไม่เหมาะสม ” สอบถามด้วยความสงสัยเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นพิธีกรรมเช่นนี้
“ จะกางร่มประมาณ 10 นาที ” หลังจากนั้นไม่นานข้าพเจ้าก็เห็นผู้ป่วยสามารถนอนหลับพักผ่อนได้ทั้งคืน
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่เวรเช้าอีกครั้ง ก็ได้เจอผู้ป่วยคนนี้ยังคงนอนอยู่ที่เตียงเดิม จึงเข้าไปพูดคุยซักถามอาการและตรวจทางท้องผู้ป่วย
“วันนี้รู้สึกเจ็บท้องนานๆครั้ง ไม่มีมูกเลือดออกแล้ว รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อคืน” และในเวรเช้าวันนั้นข้าพเจ้าเห็นผู้ป่วยรายนี้มีสีหน้าสดชื่น ลุกนั่ง พูดคุยกับญาติได้ รับประทานอาหารได้ และหลังจากนั้น 2 วัน ผู้ป่วยก็กลับบ้านได้สรุปการวินิจฉัยเจ็บครรภ์เตือนเท่านั้น
เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้ารับรู้และตระหนักว่า ความเชื่อใดที่ผู้ป่วยร้องขอและต้องการทำ แต่ไม่ขัดต่อแผนการรักษาของแพทย์ ก็ไม่ควรที่จะไปหักหาญน้ำใจคนไข้ไม่ให้ทำ เพราะการที่เราอนุญาตให้ประกอบพิธีกรรม ตามความเชื่อนั้น จะส่งผลดีทางด้านจิตใจกับคนไข้อย่างมาก
อืม...เหตุการณ์ในวันนั้นปูอยู่ด้วย...งงมากๆ