กามรมณ์ คือ ความสุขที่ถูกใจ
ธรรมารมณ์ คือ ความสุขที่ “ถูกต้อง”
ความสุขที่ถูกต้องนั้นมักจะไม่ใช่ความสุขที่ถูกใจ
“พาลชน” คือ บุคคลที่มีจิตใจอ่อนแอมักหาความสุขด้วยความสุขใจและยอมแพ้ต่อความถูกต้อง
การที่เกิดมามีชีวิตนั้นมักจะต้องก้าวอยู่บนหนทางเดินที่เป็นแยกอยู่เสมอ
ทางแยกนั้นมักจะต้องอาศัยพละและกำลังแห่งสติในการ “ตัดสินใจ”
การตัดสินใจของคนเรานั้นมักใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเป็นเครื่องตัดสิน
เมื่อตาเห็นสิ่งสวย ๆ จมูกได้รับกลิ่นหอม ๆ ลิ้นได้สัมผัสรสชาดอร่อย ๆ หูได้ยินเสียงเพราะ และใจได้เสพสุขก็มักจะเลือกเดินไปในทางนั้น
แต่เมื่อใดที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้สัมผัส หรือแม้กระทั่งใจไม่ได้เสพ ไม่ได้เพ้อฝันนั้นก็ตีความว่าสิ่งนั่นคือ สิ่งงมงาย ไม่ใช่ “วิทยาศาสตร์”
คนเรามักตัดสินใจต่อทางเดินของชีวิตโดยใช้เหตุและผลเสมอ ๆ และมักจะเป็นเหตุและผลในทางโลก
แต่คนเรามักมองไม่เห็นเรื่อง “นอกเหตุเหนือผล”
เรื่องนอกเหตุเหนือผลคือเรื่องที่ “วิทยาศาสตร์ ณ ปัจจุบัน” พิสูจน์ไม่ได้
เหมือนกับเรื่องโลกกลม เรื่องจุลินทรีย์ เรื่องเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เมื่อในอดีตเรามองไม่เห็น เราก็คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อ
เรื่องธรรมารมณ์ก็เป็นเช่นนั้น
ในวันนี้ “จิต” ยังอยู่นอกเหตุเหนือผลของวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบัน คนเรานั้นจึงติดอยู่กับความสุขทางเหนือ ทางหนัง ไม่ยอมสลัด ไม่ยอมปล่อยความสุขทาง “กามรมณ์”
แต่หากผู้ใดมีการปฏิบัติทางจิต เจริญสมาธิ ภาวนา และสัมผัสได้ว่าความสุขทางธรรมารมณ์นั้นเป็นอย่างไร เขาผู้นั้นจะละเสียได้ซึ่งความสุขจากทางเนื้อหนังนั้นเสีย
แต่ใครเล่าจะสู้ จะเอาความสุขที่มองไม่เห็นนี้
ผู้ใดที่ตัดสินใจกระโดดลงน้ำถึงแม้นไม่เห็นฝั่งจากทางตา
เขาทั้งหลายได้ตัดสินใจเสียสละแล้วซึ่ง “กามสุข” จาก “กามรมณ์” เพื่อเสาะแสวงหา “ธรรมสุข” จาก “ธรรมารมณ์”
ผู้ที่สละโลก เพื่อมุ่งหน้าเดินสู่ธรรม ผู้นั้นย่อมน้อมนำพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแห่งชีวิต แห่งจิตใจ
ผู้ที่อยู่ติดโลก ย่อมอุดมไปด้วยโรคและด้วยภัย และสั่งสมไปด้วยอุปนิสัยแห่ง “กามรมณ์”
การเสียสละใดเล่าจักประเสริฐเท่าการเสียสละความสุขทางกามรมณ์
ผู้ที่เสียสละความสุขทางกามรมณ์ได้ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าผู้เสียสละเยี่ยง “วีรบุรุษ...”
สวัสดี ครับ
ขอบพระคุณ กับธรรม เช้านี้ ครับ