GotoKnow

สวมแว่นส่องวิธีปลูกฝังคุณธรรมเด็กเวียดนาม : (1) AAR

Prof. Vicharn Panich
เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2006 18:07 น. ()
แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน 2017 09:53 น. ()
ระบบต่างๆ ในสังคมต้องการ ความต่อเนื่อง ต้องมีกลไกสร้างความต่อเนื่อง ยิ่งเรื่องการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมยิ่งต้องทำต่อเนื่องยาวนาน

สวมแว่นส่องวิธีปลูกฝังคุณธรรมเด็กเวียดนาม : (1) AAR

  • วันที่ ๑๐ – ๑๓ พค. ๔๙ ผมได้รับเชิญจากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) ให้ร่วมคณะเดินทางไปดูงานส่งเสริมคุณธรรมของสหสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม กะว่าจะนำบันทึกมาลงไว้สัก 5 ตอน เริ่มด้วยบทสรุปจากแว่นส่องของผมเอง (ซึ่งหมายความว่าไม่รับรองความถูกต้อง ส่วนในเรื่องความครบถ้วนนั้นรับรองได้แน่นอน ว่าไม่ครบถ้วน) ในลักษณะของ AAR
  • วัตถุประสงค์ของผมในการร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานครั้งนี้ มีหลายชั้น พอจะสรุปโดยย่อเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
    1. เพื่อทำความเข้าใจวิธีทำงานของศูนย์คุณธรรมและภาคีเครือข่าย และหาโอกาสนำเครื่องมือ KM เข้าไปหนุน
    2. เพื่อเรียนรู้หลักการและวิธีการสร้างคุณธรรมในเด็กและเยาวชนเวียดนาม จากการไปดูของจริง ซึ่งจะเข้าใจได้ลึกกว่าการอ่านหนังสืออย่างมากมาย
    3. เพื่อไปเรียนรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนเวียดนาม
  • สิ่งที่ได้มากกว่าที่คาดคิดได้แก่
    1. ได้เข้าใจบทบาทที่แท้จริงของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ว่ามีความสำคัญยิ่งในการทำหน้าที่เป็น “สถาบันบริหารจัดการด้านอุดมการณ์” (ขาอุดมการณ์) คู่ขนานไปกับรัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการกิจการบ้านเมือง (ขาอำนาจ) สังคมต้องเดินด้วยสองขาคู่ขนาน และสองขานี้ต้องสามัคคีกัน ถือได้ว่าประเทศเวียดนามมีโครงสร้างหรือระบบของการดูแลปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยมีพรรคเป็นแกนหลัก พรรคคอมมิวนิสต์มีการจัดตั้ง หรือการรวมกลุ่ม แทรกหรือแฝงอยู่ในทุกองค์กร ทุกระดับของชุมชน ทุกระดับอายุของคน ตั้งแต่เล็กจนแก่ ทำให้การพัฒนาประเทศมีลักษณะต่อเนื่อง ย้ำว่า ระบบต่างๆ ในสังคมต้องการ ความต่อเนื่อง ต้องมีกลไกสร้างความต่อเนื่อง ยิ่งเรื่องการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมยิ่งต้องทำต่อเนื่องยาวนาน
    2. ได้เห็นวิธีการที่พรรคคอมมิวนิสต์ ร่วมกับองค์กรด้านการศึกษา จัดระบบ อนุชนโบว์แดง ยุวชนโฮชิมินห์ (คนเวียดนามอ่านออกเสียง โฮชิมิง) เพื่อปลูกฝังและยกย่องเด็กดีและเก่ง อย่างเป็นรูปธรรม ยิ่งได้ไปเห็นประธานกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มออกกำลังกายของผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่เราแวะเข้าไปแบบเดาสุ่ม ยิ่งได้ซาบซึ้งกับสภาพ ชุมชนเข้มแข็ง ที่เป็นฐานที่มั่นของคุณธรรมจริยธรรมในสังคมเวียดนาม
    3. ได้เห็นจุดแข็งของการศึกษาระดับประถม และระดับอุดมศึกษา ของเวียดนาม ได้แก่ (1) ความกระตือรือร้นในการศึกษาเล่าเรียนของเด็ก และของนักศึกษามหาวิทยาลัย (2) ครู ผู้บริหารโรงเรียน ผู้บริหารการศึกษาในพื้นที่ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผลการเรียนรู้ของเด็กเกิดผลดี (3) มีระบบการพัฒนาครูแนบแน่นอยู่กับสมรรถนะในการสอนนักเรียน เป็นระบบพัฒนาครูที่มีทั้งการพัฒนาในงานประจำ (มีการประชุม ลปรร. กันทุกสัปดาห์ ทั้งให้ครูสอนเก่งเล่าวิธีการของตน และปรึกษาหารือการแก้ปัญหาของเด็ก) และการฝึกอบรมประจำเดือน ประจำปี เน้นเพิ่มเติมความสามารถของครูเป็นรายคน โดยพิจารณาจากรายงานความสามารถ/จุดอ่อน ของครูแต่ละคน ที่รายงานโดยครูใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นจุดอ่อนของการศึกษาไทย (4) มีการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนตามแกนเดียวกันทั่วประเทศ แต่มีการปรับให้เข้ากับสภาพพิเศษของแต่ละท้องถิ่น เช่นเมืองฮาลองเป็นเมืองท่องเที่ยว ก็มีการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนในรายละเอียดให้เหมาะต่อการที่เด็กจะเติบโตมีชีวิตอยู่ในเมืองที่มีสภาพแบบนี้ คือโรงเรียนและครูมีสิทธิ์ที่จะตีความบริบทของท้องถิ่นและจัดการเรียนการสอนในรายละเอียดได้ (5) ได้เห็นครูที่สอนลูกศิษย์อย่างมีวิญญาณครูและวิญญาณแม่ในคนเดียวกัน เห็นแล้วชื่นใจ มีความสุข เพราะเราได้เห็นสีหน้า แววตาครูที่มองลูกศิษย์อย่างมีความสุข ความชื่นชม ผมถามว่าทำไมมาเป็นครู เธอตอบว่าเพราะรักเด็ก ได้สอนเด็กแล้วมีความสุข (6) ได้เห็นเด็กนักเรียนที่เรียนอย่างมีความสุข มีชีวิตชีวา และเรียนวิชาที่แข็งกว่าโรงเรียนไทยในระดับเดียวกัน (ครูตัวจริงที่ร่วมคณะดูงานเป็นผู้บอก)
    4. ได้เห็นว่าสถาบันการศึกษาของเวียดนามมีกระบวนทัศน์ที่ต่างจากของไทย ของเราเน้นอาคาร สถานที่ ครุภัณฑ์ เครื่องมือ ที่หรูหราใหญ่โต หรือทันสมัย (เน้นเปลือก) ของเขาเน้นคุณภาพและความทุ่มเทของครู เน้นกระบวนการเรียนรู้ เน้นการประเมินการเรียนรู้ของศิษย์เป็นรายคน (เน้นแก่น) ของเราการพัฒนาครูเน้นที่วิทยฐานะ โดยครูมีอิสระเสรีที่จะพัฒนาตัวเอง ของเขาครูต้องไปเข้ารับการอบรมตามผลการประเมินผลงาน
    5. ได้เรียนรู้เรื่องราวของโครงการดีๆ ด้านการส่งเสริมคุณธรรมที่ผู้ร่วมเดินทางดูงานกำลังดำเนินการ และสามารถนำเอา KM ไปเป็นเครื่องมือสร้างความสำเร็จของโครงการ หรือขยายผลโครงการได้ เช่นโครงการโรงเรียนส่งเสริมคุณธรรมของพระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวังโส วัดสุทัศน์เทพวราราม โครงการโรงเรียนส่งเสริมคุณธรรมแบบ “แม่จ้อง บวร” ของโรงเรียนแม่จ้อง จ. เชียงใหม่ เป็นต้น
  • สิ่งที่ได้น้อยกว่าที่คาดหวัง คือไม่ได้มีโอกาสไปดูงานที่โรงเรียนระดับมัธยม ทำให้ไม่ได้สัมผัสวิธีปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในเด็กวัยรุ่นโดยตรง เรื่องเด็กวัยรุ่นสำคัญมาก และเป็นเรื่องที่สังคมไทยเรามีจุดอ่อนอย่างยิ่ง
  • ถ้าจะมีการจัดการดูงานเช่นนี้อีก สิ่งที่ควรปรับปรุงได้แก่
    1. ควรทำ BAR (Before Action Review) ตอนรอขึ้นเครื่องบินในห้อง VIP ในเวลาหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ผู้ร่วมเดินทางรู้จักกัน และรู้ว่าแต่ละท่านมีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการมาดูงาน
    2. ควรทำ AAR เป็นระยะๆ อย่างมีโครงสร้างมากกว่านี้ ผมมองว่าคณะผู้จัดเกรงใจสมาชิกผู้มาร่วมดูงานมากไป ไม่ค่อยกล้าจัดระบบการ ลปรร. ผมขอยุให้กล้า จะทำให้ผู้ร่วมเดินทางดูงานได้เห็นพลังของ AAR และได้สาระจากการดูงานเพิ่มขึ้น (กว่าที่ตัวเองเก็บได้) กว่าเท่าตัว
  • สิ่งที่ผมจะกลับมาทำ ก็คือเรื่องที่ผมตั้งเป้าไว้ก่อนไป คือสนับสนุนการเอา KM ไปเป็นเครื่องมือสร้างคุณธรรมจริยธรรม โดยจะเริ่มเล็กๆ และเริ่มจากความสำเร็จหรือกิจกรรมดีๆ ที่มีอยู่แล้ว เราจะจัด เวที “กิจกรรม บวร ปลูกฝังคุณธรรม” (บวร = บ้าน วัด โรงเรียน) เป็นกิจกรรมร่วม 4 ฝ่าย คือศูนย์คุณธรรม, เขตการศึกษาที่ 1 เชียงใหม่, สรส., และ สคส. มีคุณทรงพล เจตนาวณิชย์ เป็นวิทยากรหลัก และเจ้าหน้าที่ของ สคส. เป็นผู้ช่วย จัดเวทีที่เชียงใหม่ในลักษณะ KM Workshop เชิญ รร. ในเครือข่ายกิจกรรมบวรปลูกฝังคุณธรรมของเขตการศึกษาที่ 1 เชียงใหม่จำนวน 5 – 6 โรง ที่มีผลการดำเนินงานกิจกรรมบวรปลูกฝังคุณธรรมได้ผลดี แต่ละโรงเรียนส่ง “ผู้ปฏิบัติตัวจริง” ในโครงการมา ลปรร. กันว่าทำอย่างไร คิดอย่างไร เชื่ออย่างไร ฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคอย่างไร จึงประสบผลสำเร็จในขณะนี้ อาจต่อด้วยการบอกความฝันว่าจะทำอะไรต่อ เทคนิคที่ใช้คือ การเล่าเรื่อง (Storytelling), การฟังอย่างลึก (Deep Listening), สุนทรียสนทนา (Dialogue), การคิดเชิงบวก (Positive Thinking), การสร้างบรรยากาศชื่นชมยินดี (Appreciative Inquiry) เป็นต้น เป้าหมายของ workshop มีสองซ้อน คือ (1) เรียนรู้ KM เพื่อให้ผู้เข้าร่วมไปเป็นวิทยากรให้แก่ รร. ในเครือข่ายต่อได้ และ (2) ลปรร. เคล็ดลับในการดำเนินการ รร. วิถีพุทธ แนว บวร เป้าหมายจริงๆ คือ การติดอาวุธ KM ให้แก่เครือข่าย รร. ปลูกฝังคุณธรรมในเขตการศึกษาที่ 1 เชียงใหม่ ให้ในที่สุดสามารถเอา KM ไปใช้ในการ ลปรร. ประสบการณ์ในการดำเนินการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมโดย รร. ร่วมกับวัด ครอบครัว และชุมชน ได้อย่างกว้างขวาง เป็นตัวอย่างและขยายผลสู่เขตการศึกษาอื่น จังหวัดอื่น และภาคอื่นๆ ต่อไป ผมได้แนะ อ. สนธิชัย สมเกตุ ผอ. รร. แม่จ้อง จ. เชียงใหม่ และคุณอนันต์ ยศยิ่ง ประธานคณะกรรมการสถาบันการศึกษา รร. แม่จ้อง ว่าควรหาทางเชิญ อบต. และเขตการศึกษามาร่วมด้วย เพราะว่าต่อไปทรัพยากรสำหรับใช้ดำเนินการกิจกรรมสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่เด็กและเยาวชน ควรมาจากท้องถิ่นเองเป็นส่วนใหญ่
  • ผมขอขอบคุณศูนย์คุณธรรม คณะผู้จัดการเดินทาง และคณะที่ร่วมเดินทางทุกท่าน ที่เอื้อเฟื้อการเดินทางไปเรียนรู้ในครั้งนี้
  • ผมกลับมาบ้าน ครุ่นคิดว่า ในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม เรติดกับดักทฤษฎีหรือเปล่า เราควรเอาปฏิบัตินำทฤษฎีหรือเปล่า (ไม่ใช่ทฤษฎีไม่สำคัญ แต่อย่ามัวลูบคลำทฤษฎีจนไม่ได้ปฏิบัติ)

วิจารณ์ พานิช
๑๔ พค. ๔๙



ความเห็น

ปิยะนุช
เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2006 20:38 น. ()

คนไทยเรามีราก แต่ไม่ได้รักษารากของตนไว้ ปล่อยให้หลุดลอยไปตามกระแส

ถ้ามีการวิเคราะห์หลักสูตร จะเห็นได้ขัดเจนว่าตั้งแต่ประถมถึงอาชีวะที่ผู้บริหารเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรโดยผู้สอนไม่รู้เนื้อรู้ตัวเป็นประจำ

ไทยเรายังไม่สามารถแยกได้ว่า"อาชีพครู" กับ "ครูอาชีพ"ต่างกันอย่างไร เราต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างจริงจัง พูดความจริงโดยเน้นการคิดเชิงบวก อนาคตคงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนะคะ หวังไว้อย่างนั้นค่ะ

Handy
เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2006 00:47 น. ()
    เพราะท่านสวมแว่นจึงทำให้อ่านบันทึกนี้อย่างละเอียดและได้ประโยชน์มากมายครับ  คงได้นำแง่คิดของท่านอาจารย์ไปขยายผล กระตุ้นให้ ครูปัจจุบัน และ ครูในอนาคต ตลอดจนคนที่เป็น ครู ของ ครู ได้ตระหนักและเกิดแรงจูงใจที่จะ ก่อการ อะไรใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ต่อไปครับ
-ขจิต ฝอยทอง
เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2006 23:04 น. ()
  • ทำอย่างไรถึงจะทำให้ครู-อาจารย์ของเรามีจิตวิญญาณความเป็นครูครับ ไม่เป็นแบบนี้ครับ
     
Man In Flame
เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2007 16:03 น. ()

you are peace warrior

"Real Battles Are Wihtin"

สวัสดีครับอาจารย์  เป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow