“เปลี่ยนสัญญาจ้างเป็นสัญญาใจ”
เขียนโดย...ณรงค์วิทย์ แสนทอง
ความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเริ่มต้นจาก “สัญญาจ้าง” ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนคือลูกจ้างตกลงทำงานให้นายจ้าง และนายจ้างตกลงที่จะตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนและสวัสดิการ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบหลวมๆที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมจะบอกเลิกสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้ เช่น นายจ้างก็มีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้าง ในขณะเดียวกันลูกจ้างก็มีสิทธิลาออกได้ทุกเมื่อเช่นกัน หลายองค์กรประสบปัญหาเหมือนๆกันคือ ไม่สามารถรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กรนานๆได้ เพราะเมื่อนายจ้างไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับลูกจ้างตามที่ลูกจ้างต้องการแล้ว ลูกจ้างก็พร้อมที่จะออกไปอยู่ที่อื่นซึ่งให้ผลตอบแทนการทำงานที่สูงกว่าและสวัสดิการดีกว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของลูกจ้างที่มีต่อนายจ้างคือ “ผลประโยชน์” ในเชิงวัตถุเท่านั้น ผลประโยชน์ในเชิงวัตถุเปรียบเสมือนน๊อตและสกรูที่ล๊อคแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าด้วยกัน นานวันเข้าน๊อตหรือสกรูอาจจะเป็นสนิมและทำให้แผ่นเหล็กแยกออกจากกันได้ ไม่เหมือนกับการยึดติดแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าด้วยกันโดยการเชื่อมที่สามารถทำให้แผ่นเหล็กยึดติดกันได้ดีกว่าและนานกว่า และถ้าฝีมือการเชื่อมดีๆก็อาจจะแยกไม่ออกว่าเป็นแผ่นเหล็กสองแผ่นนำมาเชื่อมติดกัน ดูแล้วเหมือนกับเป็นแผ่นเหล็กแผ่นเดียวกัน
องค์กรที่ต้องการรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กรนานๆ ควรจะเปลี่ยนแนวคิดจาก “สัญญาจ้าง” มาเป็น “สัญญาใจ” เพราะสัญญาใจเป็นสัญญาที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจคนเป็นสัญญาที่อยู่นานกว่าสัญญาจ้าง เหมือนกับการที่เราเคยตกทุกข์ได้ยากแล้วมีคนๆหนึ่งยื่นมือมาช่วยเหลือเรา เราจะจดจำบุญคุณของคนๆนั้นไปตลอดชีวิต สัญญาใจเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีการลงชื่อในเอกสาร ไม่ต้องกลัวเอกสารสูญหาย ไม่ต้องกลัวว่าสัญญาเขียนไม่รัดกุม
เนื่องจากคนไทยมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ ไม่ลืมบุญคุณคน ดังนั้น การที่เราจะทำให้บุคลากรไม่ลืมบุญคุณองค์กร เราจะต้องทำให้คนๆนั้นรู้สึกเป็นหนี้ทางใจต่อองค์กร เพราะหนี้บุญคุณเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้คนเก่งและคนดีอยู่กับองค์กรได้นานกว่าสัญญาจ้างงานทั่วไป การสร้างหนี้บุญคุณคนให้ยึดหลัก “3 ให้” ดังต่อไปนี้
· ให้กำลังใจ
ถึงแม้คนจะมีทั้งโอกาสและการให้อภัย แต่การให้กำลังก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักรที่สมรรถนะจะคงที่สม่ำเสมอ คนมักจะมีปัญหาอุปสรรคมาขัดขวางทำให้หมดหวัง หมดกำลังใจ จนทำให้รู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่ายได้ตลอดเวลา ดังนั้น การที่องค์กรจะสร้างสัญญาใจให้บุคลากรที่ทั้งเก่งและดีอยู่กับองค์กรนาน องค์กรก็ต้องมีระบบการติดตามดูว่าบุคลากรคนไหนต้องการกำลังใจ เพราะกำลังใจก็หาซื้อที่ไหนไม่ได้เช่นกัน จะไปขอกำลังจากใครก็เป็นเรื่องยาก กำลังใจที่สำคัญต้องได้รับจากการให้ด้วยความเต็มใจเท่านั้น เช่น หัวหน้าทุกคนควรจะผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้อง องค์กรควรจะมีวัฒนธรรมองค์กรเรื่องการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ควรจะมีบุคคลที่คอยให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตของพนักงาน (Personal Counselor)
เป็นต้น
สรุป การเปลี่ยนสัญญาจ้างเป็นสัญญาใจ น่าจะเป็นแนวทางใหม่ที่จะช่วยให้องค์กรรับมือกับถูกดึงคนเก่งและคนดีไปอยู่ที่อื่น และรับมือกับค่านิยมของคนทำงานรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมมากกว่าการจงรักภักดีต่อองค์กรเหมือนคนทำงานในรุ่นก่อนๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวคิดของผู้เขียนที่อยากระตุ้นให้องค์กรต่างๆหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น ส่วนกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเพื่อรองรับแนวคิดนี้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าไม่มีใครคิดได้ดีไปกว่าคนในองค์กรนั้นๆอย่างแน่นอน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรต่างๆจะสามารถรักษาคนเก่งและคนดีที่ต้องการให้อยู่กับองค์กรได้นานมากยิ่งขึ้น
หากการทำงานทุกอย่างทำด้วยสัญญาใจ เราก็จะมีความทุ่มเท และมีความตั้งใจในการทำงานที่ดีค่ะ
เมื่อมีการให้ใจ ก็ย่อมได้รับใจตอบแทนกลับคืนมา การให้โอกาสลูกจ้องได้ทำงาน ให้อภัยเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และให้กำลังใจหากผลลัพธ์งานทั้งที่ออกมาดีและไม่ค่อยสมบูรณ์
ยังงัยเราก็ให้ใจนายไปหมดแล้วเพราะนายคือเพื่อนlove
ชื่อบทความเหมือนเพลงเลยเปลี่ยนสัญาจ้างเป็นสัญญาใจ อ่านแล้วสาระดีมาก หน้าเว็บอลังการณ์ไปสอนพี่ทำบ้าง
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของทุก ๆ ท่านค่ะ
ดีมากเลย ทำอะไรควรจะทำด้วยใจ ดีที่สุด
ก็ดีนะค่ะที่สามารถเปลี่ยนสัญญาจ้าง เป็นสัญญาใจ จะได้เกิดเป็นความรัก....ต่อองค์กรนะค่ะ
ถ้าเราให้ใจกับเขา เราก็จะได้ใจเขากลับมา จริงๆนะจะบอกให้
คนที่มีแต่ให้ ย่อมเป็นที่รักของทุกคนจ้า
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมผลงานจ้ะ
ผมแวะมาให้กำลังใจครับ...พี่ลักษณ์ผมจะแวะไปที่ฝ่ายบุคลากรบ่อย ๆ