ในสัปดาห์นี้ผมเองยังมีโอกาสได้พบกับกลุ่มเยาวชนครับ ซึ่งน่าประทับใจมากก็คือกลุ่มเด็ก ๆ เยาวชนของเราซึ่งตอนหลังนี้ก็มักจะถูกมองว่าเป็นปัญหาของสังคม กลับปรากฏว่ามีกลุ่มเยาวชนทั่วประเทศนะครับ ที่ไปทำงานทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ไปรวมกลุ่มกันออกค่ายบ้าง เพื่อเผยแพร่ในเรื่องของหลักธรรมคำสอนก็มี ไปรณรงค์ในเรื่องของการไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รักนวลสงวนตัว ไปทำงานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรักสัตว์ อนุรักษ์สัตว์ก็มี รวมไปจนถึงการที่ใช้เวลาว่างในการที่จะไปเยี่ยมเยียนดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งอาจจะไม่มีลูกหลานดูแลอยู่นะครับ อย่างนี้เป็นต้น ผมก็เปิดโอกาสให้มาพบที่ทำเนียบฯ และให้กำลังใจ และก็คิดว่าจะมีการขยายผลงานเหล่านี้ไปได้อีกนะครับ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของการที่มาแสดงในตลาดนัด คุณธรรมเช่นเดียวกัน..
กูจะสู้ แม้รู้ว่า พวกกูน้อย
สู้ไม่ถอย แม้รู้ว่า จะดับสลาย
แผ่นดินนี้ พ่อกูอยู่ ปูกูตาย
กูสุดอาย หากเสียที ไพรีครอง
(บทกลอนหน้าค่ายโพธิเก้าต้น)
ความรู้สึกของผู้เขียน ขณะฟังนายกฯ ให้โอวาทกึ่งตอบโจทย์ของเยาชนก็คือ ท่านพูดและทำได้ในเชิงนโยบายเท่านั้น ปัญหาชาติบ้านเมืองนั้นมีมากมายให้แก้ไข และมากเกินกว่าจะมีฮีโร่ หรือ บุคคลที่ถูกอุปโลก ให้มีตำแหน่งเช่น "นายก" มาแบกรับ แค่ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องรับมือปัญหาการเมืองภายในภายนอกนั้นก็มีมากอยู่แล้ว ยากที่จะสามารถลงมาดูในรายละเอียดและเรื่องละเอียดอ่อนอย่างเช่นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและแก้ปัญหาให้เด็กและเยาวชน
การที่รัฐบาลปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานที่ทำงานเชิงรุกเรื่องคุณธรรม อย่างศูนย์คุณธรรมและตัดงบประมาณ จากที่ขอไป 120 ล้าน เหลือเพียง4ล้าน และหันนโยบายมาเป็น creative economy เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น นับได้ว่าเป็นเศรษฐกิจที่ " ไร้ราก " งบประมาณจากเงินกู้ที่ลงไปจะได้ผลในระยะแรก แต่จะให้ผลเสียในระยะยาว หากงบด้านคุณธรรมที่ลงไปสู่โรงเรียน จำนวน 1400 กว่าล้าน ในช่วงเดือนสค.นี้ รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนอื่นๆ หากไปสร้างนิสัยโกงกินคอรัปชั่นในระดับรากหญ้าให้ขยายวงกว้างมากขึ้น ก็จะมีผลเสียใหญ่หลวงตามมาในระยะยาว
เหตุการณ์ในวันที่1 สค. นี้ คงต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของการทำความดีในเมืองไทย ไว้อีกหน้าว่า
"เหตุการณ์ครั้งนี้ เปรียบเสมือนชาวบ้านบางระจันได้ตีฝ่าวงล้อมพม่า นำทหารกล้าจำนวนหนึ่งมาเล่าวีรกรรมและสถานการณ์ให้กรุงศรีอยุธยารับฟัง หากเจ้าเมืองและเหล่าเสนาอำมาตย์เห็นคุณค่าและความสำคัญ แม้ชาวบ้านบางระจันจะมิอาจเอ่ยปากขอปืนใหญ่หรือกำลังทหารกองหนุนเพื่อกลับไปสู่สมรภูมิ ทางกรุงศรีก็มิควรจะเพิกเฉย ปล่อยให้ชาวบ้านที่ยังสู้ต่อ ต้องหลอมทองเหลือง สร้างปืนใหญ่กันเองตามยะถากรรม หากเป็นเช่นนั้น ก็คงสามารถทำนายได้ว่า กรุงศรีเองก็คงจะประสบภัยในอีกไม่นานนี้"
เราคงต้องช่วยส่งต่อ เสียงของเด็กๆ ที่เขาพูดออกมาจากใจในช่วงท้ายของการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีว่า "พวกหนูอยากจะขอให้ท่านช่วยให้การสนับสนุนโครงการเยาวชนไทยทำดีถวายในหลวง เพื่อให้เยาวชนมากมายทั่วประเทศได้ทำความดี เพื่อความดีคะ"
หากเราพยายามจนสุดกำลังความสามารถแล้ว ท้ายที่สุด ก็คงต้อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
น้องๆเยาวชนสามารถส่งคำถามที่อยากจะถามนายกรัฐมนตรี สามารถส่งคำถามเข้าร่วมได้ที่ (ก่อนวันที่ 8สค นี้เท่านั้น)
Question Mark Day : ds@democrat.or.th