คนแต่ละคนมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่เราสวมครอบกายครอบใจเราเองเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นตัวกรองทุกอย่างที่เราสัมผัสโลกผ่านมัน เป็นวิธีการมองโลก สัมผัสโลก เป็นสิ่งที่เราใช้ป้องกันรักษาชีวิตให้รอดในโลกตั้งแต่เรายังเด็กจนโต
เปลือกเป็นยิ่งกว่าแว่นสีที่เราสวมมองโลก มันครอบงำการแปลความหมาย ตัดสินสิ่งต่าง ๆ กำหนดความคิด เจตนาพฤติกรรมความต้องการทั้งหมดของเรา
เราพัฒนาเปลือกของเราตั้งแต่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในใจเราเอง จากความต้องการที่จะได้เสพ สัมผัสของดี ๆ ของที่ชอบ ได้อะไรมากเท่าไรก็ไม่พอ เหมือนหมาขี้เรือนที่ย้ายที่นอนไปตรงไหนก็ไม่หายคัน เพราะเป็นขี้เรื้อนอยู่บนตัว
ความอยากให้เรามี ได้ เป็น คงอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ดี ๆ อย่างนี้ตลอดไป ทั้งที่ความถาวรไม่เคยมีอยู่จริง
ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ในชีวิต เหมือนแว่นสีที่เราสวมมองโลกจนเห็นโลกต่างจากความจริง
ความไม่รู้ ไม่เข้าใจเนื้อแท้ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกตัวเราว่า ถ้าไม่เอาใจยืดเข้าไปรับการกระทำ ก็ไม่มีความเจ็บปวด ไม่จับ ไม่ยึดไว้ ก็ไม่มีคนทำและคนถูกกระทำ
ทั้งสี่อย่างนี้ตกตะกอนนอนก้นอยู่ภายในตัวเรา บ่มเพาะตัวเองจนเป็นรูปเป็นร่างห่อหุ้มเราอย่างแนบเนียนเหมือนผิวหนังชั้นนอกของเรา มันบงการวิธีทำ พูด คิด กำหนดสิ่งที่เราชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่เราต้องการ ไม่ต้องการ เป็นแรงผลักดันปฏิกิริยาตอบสนองทุกอย่างที่เรามีต่อโลก
เราหลงคิดว่าเราเป็นตัวของตัวเอง ทำตามใจตัวเอง แต่เราไม่เคยเป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอิสระ จนกว่าเราจะเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างที่บงการเรา ใช้เราอยู่ ซึ่งตัวมันเองก็เกิดดับ แปรเปลี่ยน ไม่มีแก่นถาวร เมื่อรู้ทันมัน ใจมั่นคง เราจึงจะสามารถเลือกสิ่งที่ถูกต้องดีงามกับชีวิตเราจริง ๆ
"สิ่งทั้งปวงไม่ควรยืดมั่น"
จากหนังสือ เข็มทิศชีวิต2
ไม่มีความเห็น