สายพันธ์ม้า


สายพันธ์ม้า

บรรพบุรุษของม้าถือกำเนิดมาบนโลกเมื่อประมาณ55ล้านปีมาแล้ว เมื่อมีมหาสมุทรอินเดียเกิดขึ้นใหม่ๆสิ่งมีชีวิตในสมัยนั้น ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแล้วจึงค่อยๆล้มหายตายจากสูญพันธุ์ไป เริ่มเกิดมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขึ้นมาบนแผ่นดิน สัตว์บกยุคแรกๆมีบรรพบุรุษของช้างแรดวัวหมู ลิง และม้า เกิดขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกัน สัตว์โลกที่เราเรียกกันภายหลังว่า "ม้า" นี้ในสมัยเมื่อ 55ล้านปีมีขนาดเล็กมาก สูงเพียงแค่ 12 นิ้ว มนุษย์เรามาตั้งชื่อให้ภายหลังว่า Eohippus หรือ Hyracotherium ซึ่งเป็นศัพท์ภาษากรีก คำว่า Hyracotherium มีความหมายว่า "หมู" แล้วก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ในยุคต่อ ๆ มา จนถึงยุคที่เริ่มเกิดมีมนุษย์ขึ้นบนโลก สัตว์ชนิดนี้ได้พัฒนาความสูงขึ้นมาถึง 52 นิ้ว และกระจายกันไปทั่งทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย และอัฟริกา เมื่อไปอยู่ในภูมิอากาศต่างกันออกไปก็ปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมไปเรื่อย ๆ จนมีมากมายหลายร้อยพันธุ์ในปัจจุบันนี้

ในอดีต ม้ามี 3 สายพันธุ์ที่พัฒนามาเป็นม้าในปัจจุบัน ซึ่งม้าในอดีตมีดังนี้

  1. The steppe type สายพันธุ์นี้ปัจจุบันมีลูกหลานที่เห็นกันอยู่คือ ม้าป่ามองโกเลีย
  2. The forest type สายพันธุ์นี้เป็นม้าขนาดใหญ่ ขาใหญ่ ค่อนข้างเชื่องช้าเป็นบรรพบุรุษของcold-blood horse (work horse) ในปัจจุบัน
  3. The plateau type สายพันธุ์นี้เป็นบรรพบุรุษของม้าสวยงามในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน สายพันธ์ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะโครงร่าง ขนาด และการใช้งาน ดังนี้

1. Ponies

มีความสูงไม่เกิน 14.2 hand (1 hand=4นิ้ว=10.16 cm) ความสูงของม้าวัดจากพื้นจนถึงตะโหงก (withers) มีน้ำหนัก 500ถึง900ปอนด์ ponies เป็นม้าที่มีสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดเป็นม้าที่มีขาสั้น และค่อนข้างแข็งแรง ponies สามารถผสมพันธุ์กับม้าใหญ่เช่น พันธ์ shire ได้เพราะทั้งคู่อยู่ใน species เดียวกัน คือ equus caballus ม้าแข็งเป็นม้าที่พัฒนาสายพันธุ์มาจาก ponies โดยการคัดเลือกพันธุ์และปัจจัยทางสภาพแวดล้อม ทำให้ม้ามีความสูงเพิ่มมากขึ้นด้วยเหตุนี้เอง สายพันธุ์ของponies จึงมีความใกล้เคียงกับต้นตระกูลม้ามากกว่าม้ากลุ่มอื่นๆ สายพันธุ์ของponies มีมากมายหลายพันธุ์ในปัจจุบันเช่น สายพันธุ์ exmoor,norwegian fjord และ morgolian ส่านสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กเช่น สายพันธุ์ falabella ( มีความสูงต่ำกว่า 7 hands ) ซึ่งถือเป็นพันธุ์ม้าเล็กที่สุดในโลก มีหลายสี ปัจจุบันเน้นผสมพันธุ์ให้มีสี appaloosa (จุดด่างบนลำตัว ) ส่วนสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง เช่น norwegian fjord ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีความต้องการที่จะใช้แรงงาน Ponies มากเท่า work horse แต่ Ponies ได้ถูกนำไปใช้ในการขี่ม้าของพวกเด็ก ๆ ซึ่งเป็นี่นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนม้าสายพันธุ์กีฬาสามารถนำมาฝึกฝนได้ ได้มาจากการผสมจากสายพันธุ์เก่าแก่ของ Ponies กับสายพันธุ์ Arabs และ Thoroughbred ซึ่งทำให้ได้ม้าหลากหลายพันธุ์มากขึ้นเรื่อย ๆ

2. Draft horses (work horses หรือ heavy horses)

 

มีความสูง 14.5 ถึง 17.5 hands มีน้ำหนักมากกว่า 1400 ปอนด์ม้าประเภทนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด และแข็งแรงที่สุดในกลุ่มของม้าทั้งหมด ชื่ออีกอย่างหนึ่งของ work horses คือ cold-bloods horses ซึ่งมีที่มาจากภาษาเยอรมันที่ว่า "Katblutigkeit" ซึ่งหมายถึง ความสงบเยือกเย็นเฉื่อยชา เนื่องจากเป็นม้าที่มีขนาดใหญ่ จึงทำให้การตอบสนองเชื่อช้า work horses มีวิวัฒนาการมมาจาก Tundra Horse แล้ว Steppe Horse ซึ่งทั้งคู่เป็นม้าที่มีขนาดสูงใหญ่ ม้าพวกนี้ จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดด้อมที่มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ำชื้นแฉะ และภูมิอากาศที่มีลักษณะหนาเย็น work horses ถูกนำไปใช้สำหรับการลากจูงของหนักและถูกนำไปใช้แรงงานทั้งในทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ในปัจจุบันในประเทศเกษตรกรรมและในฟาร์มที่ไม่มีเครื่องจักรกล ยังคงใช้แรงงานจาก work horses อยู่ สายพันธุ์ของ work horses มีอยู่มากมายหลานสายพันธุ์ เช่นสายพันธุ์ Shire สามารถลากของหนักได้ถึง 5 ตัน และจัดว่าเป็นม้าสายพันธุ์ที่มีขนาดสูงที่สุดในโลก (สูงโดยเฉลี่ย 17 hands และเคยพบที่สูงกว่า 18 hands)

3. Sport horse (Light hores)

มีความสูง14.5 ถึง 17 hands มีน้ำหนัก 900 ถึง1400 ปอนด์ เป็นม้าที่มีรูปร่างสูง ขายาว เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว Light horse แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะนิสัย Pedigree และสภาพภูมิอากาศที่ม้าอยู่ ดังนี้

  1. hot-bloods เป็นพันธุ์แท้ ซึ่งมีอยู่ 2 สายพันธ์ Arab และสายพันธุ์ Thoroughbred (สายพันธ์ Thoroughred มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาได้นำไปเพาะเยงในอเมริกาเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ส่งขายไปทั่วโลก และได้ชื่อว่าเป็นม้าที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

  2. warm-bloods เป็นพันธุ์ผสมที่พัฒนามาจาก hot-bloods warm-bloods เหมาะสำหรับใช้เป็น Riding Horses และ Driving Horses นอกจากนี้ยังมีการแบ่งประเภทของ Light horses ได้อีกแบบหนึ่งซึ่งแบ่งตามวัตถุประสงค์ที่นำไปใช้ในการแข่งขันกีฬา การแสดง หรือการใช้งานต่าง ๆ

ม้าขี่ (Riding Horse)

ม้าขี่เป็นม้าที่มีขนาดสูงประมาณ ๑๔-๑๗ แฮนด์ เมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนัก ๓๖๔-๕๙๑ กิโลกรัม ซึ่งเป็นม้าที่ใช้สำหรับขี่เดินทาง ม้าแข่ง ม้าสำหรับกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ม้าสำหรับขี่แข่งกีฬาโปโล ม้าขี่สำหรับเดินสวนสนามม้าขี่มีหลายพันธุ์ด้วยกัน เช่น

  • พันธุ์อเมริกันแซดเดิล (American Saddle Horse)
  • พันธุ์อัพพาลูซา (Appaloosa)
  • พันธุ์อาหรับ (Arabian)
  • พันธุ์มอร์แกน (Morgan)
  • พันธุ์คลีฟแลนด์ เบย์ (Cleveland Bay)
  • พันธุ์พาโลมิโน (Palomino)
  • พันธุ์พินโต (Pinto)
  • พันธุ์เทนเนสซี วอล์คกิ้ง (Tennessee Walking)
  • พันธุ์เทอร์รับเบร็ด (Thoroughbred)

ม้าพันธุ์เทอร์รับเบร็ด ( Thoroughbred )

ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา มีจินตนิยายกรีกเลื่องชื่ออยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ เพกาซูง (Pegasus) ม้ามีปีกที่เหาะเหินเดินอากาศได้ ตอนที่เรายังเป็นเด็กเราก็ได้แต่ใฝ่ฝันอยากจะขี่หลังม้าตัวนี้สักครั้ง ให้มันพาล่องลอยไปในหมู่เมฆและหมู่ดาวที่ส่องปะกายระยับ แต่ในเมื่อเราเป็นมนุษย์เราก็คงไม่สามารถผสมพันธ์ม้าวิเศษเช่นนี้ขึ้นมาได้เาที่ทำได้ ก็คือ ม้าโธโรเบรดนี่เองเพราะเจ้าม้าชนิดนี้เป็นม้าที่วิ่งได้เร็วใกล้เคียงกับกรเหินบินมากที่สุด

ประวัติความเป็นมาของม้าโธโรเบรดนี้ นับเป็นความสำเร็จของวิศวะพันธุกรรม โดยฝีมือมนุษย์ แม้ว่าเจ้าม้าเลือดร้อนนี้จะมีประวัติความเป็นมาเพียง 30 ปี แต่มันก็มีทั้งความมั่นคงแข็งแรง และความเร็วปานพาย ซึ่งม้า พันธุ์นี้ทุกตัวจะมีลักษณะเช่นนี้ทั้งสิ้น ม้าโธโรเบรดเกิดมาเพื่อที่จะแข่งขัน เอาชนะ และวิ่งเร็วปานพายุ บรูช สปริงส์ทัน กล่าวไว้ว่า "มันเกิดมาเพื่อวิ่ง" และม้าโธโรเบรดก็รู้หน้าที่ของมันตั้งแต่เริ่มยืนได้ทีเดียว

ก็จริงอยู่ที่ว่า ไม่ใช้ม้าโธโรเบรดรุ่นทุกตัวจะชนะการแข่งขัน ทริปเปิ้ลคราวน์เสมอไป แต่ทุกฤดูใบไม้ผลิ เมื่อลูกม้ารุ่นใหม่ถูกปล่อยออกมาวิ่งเล่นในทุ่งหญ้าแล้วอย่างน้อยก็จะมีสักตัวหน่งที่จะเฝ้าแต่วิ่งกระโดดไปมา ขณะที่แม่ม้ายืนเล็มหญ้าอยู่ เมื่อลูกม้าตัวอื่นพยายามจะเข้าร่วมเล่นกับมัน เจ้าลูกม้านักวิ่งก็จะสลัดความงุ่มง่ามของมันทิ้งไป และจะไม่ยอมให้ตัวอื่นไล่ทันมันเป็นอันขาด ชัยชนะในครั้งนี้ยังไม่มีรางวัล แต่ก็เป็นที่รู้ ๆ กันว่ามันจะต้องรักษาความเป็นหนึ่งของมันไว้ เจ้าลูกม้าตัวนี้รู้ดีตั้งแต่ยังเล็กว่า มันยอมตายเสียดีกว่าที่จะแพ้ เช่นเดียวกับมเาแข่งโธโรเบรดรุ่นเดอะที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้ามันมาแล้ว

ต้นตระกูลของม้าโธโรเบรด เรียกได้ว่า เกิดคู่กันมากับการแข่งม้าในอังกฤษนั่นเอง ม้าตระกูลนี้เกิดเมื่อ 300 ปีมาแล้ว ซึ่งในตอนนั้นการแข่งม้าเริ่มเป็นที่เกรียวกราวในประเทศอังฤษพวกนักผสมพันธุ์ม้าในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ได้สั่งม้าจากทางตะวันออกเข้ามาคือ พันธุ์ Barbs, Turks และ Arabians ด้วยหวังว่าม้าตะวันออกจะทำให้ลูกม้าพื้นเมืองอังกฤษที่ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า มีความสามารถในการแข่งสูงขึ้น

พวกนี้ทำได้สำเร็จ ถ้าจะว่ากันไปแล้วนักผสมพันธุ์ม้าในศตวรรษ 17 และ 18 นับว่ามีความรู้ทางด้านการเลี้ยงสัตว์ดีอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งี่ไม่มีความรู้ทางด้านพันธุ์กรรมมาก่อนเลยคนพวกนี้สามารถผสมพันธุ์ที่แข็งแรง และมีฝีเท้าจัด ทุกวันนี้ม้าโธโรเบรดพันธุ์แท้ เลยสืบเชื้อสายมาจากม้าตะวันออก 3 ตัว คือ Byerly Turk, Darley Arabian และ Godolpin Arabian (เรียกว่า Godolphin Barb ก็ได้) ม้า 3 พันธุ์นี้เรียกได้ว่าเป็นม้าผู้ดี ฝีเท้าจัด ซึ่งออกหลานสืบทอดมาจนทุกวัน

ม้าต้นตระกูลโธโรเบรดตัวรกที่เข้ามาถึงอังกฤษในปี ค.ศ. 1680 คือ Byerly Turk เจ้าม้าตัวนี้เป็นต้นตระกูลของม้าโธโรดเบรดสาย Herod คำว่า Herod นี้ได้มาจากชื่อของเหลนตัวหนึ่งของม้า Byerly Turk นั่นเอง เจ้า Herod นี้นับว่ามีฝีเท้าจัดหาตัวจับยากทีเดียว ม้าต้นตระกูลของม้าโธโรเบรดอีกตัวหนึ่ง คือม้า Darley Arabian ซึ่งมาถึงอังกฤษในปี ค.ศ. 1704 เหลนของมันคือ Eclipse (ซึ่งเกี่ยวดองกับ Godolphin Arabian ทางข้างแม่) เจ้า Eclipse นี้ก็เป็นม้าแข่งที่มีชื่อตัวรกของสายนี้ ม้าโธโรเบรดรุ่นใหม่ถึง 80 เปอร์เซ๋นต์ สืบเชื้อสายมาจากเจ้า Eclipse ซึ่งรวมทั้ง Bold Ruler และ Secretariat ด้วย ม้าต้นตระกูลตัวสุดท้าคือ Godolphin Arabian ซึ่งเข้ามาในปี ค.ศ. 1729 ซึ่งในขณะนั้นม้าสายอื่น ๆ เริ่มแพร่พันธุ์โธโรเบรดขึ้นมาแล้วเหลนของ Godolphin Arabian คือ Machem (หรือบางทีก็เขียนว่า Matchem) ม้าสาย Mechem นี้ ผลิตแชมป์เปี้ยนม้าแข่งได้หลายตัวรวมทั้ง Man O,War และ John Henry

ชื่อเสียงทางด้านฝีเท้าของม้าโธโรเบรดเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และเป็นที่ต้องการทุกมุมโลกตั้งแต่ออสเตรเลียไปถึง อินเดียเลยทีเดียว ในสหรัฐอเมริกา ก็นิยมม้าพันธุ์นี้มากอยู่ โดยเฉพาะในมลรัฐเคนตั๊กกี้ สายเลือดของม้าโธโรเบรดช่วยสร้างและปรับปรุงพันธุ์ม้าอเมริกา เช่น American Saddlebred Quarter Horse และ Trakhner ถ้ายกเว้นม้า Arabian เสียพันธุ์หนึ่ง ก็อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีม้าพันธุ์ใดอีกแล้วนอกจากพันธุ์โธโรเบรดี่สามารถปรับปรุงให้ม้าพันธุ์อื่นมีความงามและความสามารถในการแข่งขัน

นับเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ผู้สนับสนุนให้มีการเลี้ยงและขยายพันธุ์ม้าโธโรเบรดเป็นตัวตั้งตัวตีในการเพิ่มสมรรถนะทางการแข่งขันของม้าพันธุ์นี้ แรกเดียวคนพวกนี้ต้องการผสมพันธุ์ม้าเพื่อให้มีฝีเท้าจัดเท่านั้น แต่กลับได้ผลดีอย่างอื่น อย่างไม่คาดคิด คือ ได้ม้าที่มีท่วงทีกำยำ สง่างามมีวิญญาณของการแข่งขันที่ไม่รู้จักแพ้ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งระยะทาง 1 ถึง 2 ไมล์ เกมล่าสัตว์โบโล หรือการแข่งขันม้าที่มีสิ่งกีดขวาง

นิสัยช่งแข่งขันและไม่รู้จักแพ้ที่ทำให้ม้าโธโรเบรดกำชัยชนะในการแข่งขันเกือบทุกประเภทไว้ได้นั้น ทำให้มันเป็นม้าที่อกจะควบคุมยากอยู่สักหน่อย ม้าโธโรเบรดหลายตัวไม่รู้จักโต กล่าวคือ ยิ่งชอบวิ่งชอบกระโดด ไม่ยอมให้ใครมาควบคุม ไม่ยอมให้ฝึกง่าย ๆ ม้าอายุ 2 ปีหลายตัวถึงกับพยศเมื่อถูกพาขึ้นสังเวียน ในนิทานโบราณเราเคยได้ยินเรื่องราวของคน "พิเศษ" ที่สามารถปราบพยศม้าได้ ม้าโธโรเบรดเช่นเดียวกัน คือ มันจงรักภักดีต่อคน ๆ เดียว และจะคว้าชัยชนะมาให้กับคน "พิเศษ" ของมันเท่านั้น

ในปี ค.ศ. 1896 Jockey Club กลายมาเป็นที่จดทะเบียนม้าโธโรเบรดในสหรัฐอเมริกาและยังคงรักษามาตรฐานพันธุ์ม้านี้ไว้จนทุกวันนี้ Sam Kanchuger แห่ง Jockey Club กล่าวว่าจะมีการขึ้นทะเบียนม้าโธโรเบรดรุ่นใหม่ ๆ ปีละประมาณ 50,0 ตัว อยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งม้าทุกตัวนี้ลงทะเบียนไว้ว่าเกิดวันเดียวกันทั้งหมด คือวันที่ 1 มกราคม นี่คือนโยบายของ Jockey Club ในการที่จะกำหนดมาตรฐานอายุของม้าแข่ง

นอกจากจะมีสมรรถนะทางการแข่งขันแล้ว ม้าโธโรเบรดยังได้รับการยกย่องว่ามีความสง่างามอย่างงหาตัวจับยาก ม้าโธโรเบรดมีความงดงามอย่างน่าพิศวงด้วยโครงสร้างที่องอาจผึ่งผายและขนที่เป็นมันระยับราวกับไหมเนื้อดี โดยเฉลี่ยแล้วม้าโธโรเบรดสูงประมาณ 16 แฮนดส์ มีสีต่าง ๆ ตั้งแต่ น้ำตาลปนแดง, น้ำตาลและน้ำตาลเข้า และอาจมีสีเท้า, ดำ หรือสีเทาผสมกับสีอื่น ๆ ได้ด้วย ม้าโธโรเบรดที่มีลักษณะดีจะต้องมีรูปศีรษะตรง สง่างาม และมีหูเล็ก ไหล่ลาดหลังสั้น กล้ามเนื้อสะโพกแข็งแรง กระดูกขาจะต้องมีกำลังดี มีลำคอที่ยาวงาม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะทำให้ม้ามีลักษณะที่เยี่ยมด้วยพละ กำลังและความน่าเกรงขามเรียกได้ว่าเป็นลักษณะชั้นอุดมคติของม้าเลยทีเดียว

ม้าโธโรเบรดจำนวนมากไม่เดียงแต่สวยเท่านั้น หากยังมีค่าตัวสูงอีกด้วย ถ้าพูดถึงม้าราคาสูงสักตัว ไม่ใครก็ใครก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงม้าแข่งโธโรเบรดที่มีประสิทธิภาพสูง และชนะการแข่งขันมาแล้วหลายครั้ง ส่วนมนุษย์ที่รวยไม่เท่าม้าก็จะได้สำเริงสำราญกับเงินค่าตัวม้า ตอนที่เจ้าของค่าตัวถึงคราวปลดระวางแล้ว ซึ่งม้าแข่งเมื่อถูกปลดระวางแล้วก็จะถูกส่งเข้าฟาร์มในเค็น ตั๊กกี้, แมรี่แลนด์, นิวยอร์ค หรือคาลิฟอร์เนีย

อันที่จริงถ้าจะซื้อม้าโธโรเบรดซักตัวก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเงินทองมากมายก็ได้เพียงแต่ต้องดูเชื้อสายของม้าให้ดี ๆ ก็แล้วกันในเมื่อม้าแต่ละตัวก็มีค่าตัวนับล้านเหรียญแล้ว เพราะฉะนั้นอุตสาหกรรมม้าแข่งก็เรียกได้ว่าเป็นตลาดอย่างหนึ่งทีเดียว ผู้ที่ต้องการจะซื้อม้าโธโรเบรดสักตัว อาจรวมตัวกันเป็นสมาคมหรือกลุ่ม โดยที่สมาชิกแต่ละคนต่างก็มีสิทธิในม้าตัวนั้น แต่ไม่ใช่เป็นการลงทุนที่มั่นคงแน่นอน เพราะเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ของม้าโธโรเบรดเท่านั้นที่จะชนะการแข่งขัน แต่ว่าผู้ลงทุนจะต้องเสียเงินประมาณ 25,000 เหรียญต่อปี เป็นค่าเลี้ยงดูม้าแต่ละตัว

โดยปรกติแล้วม้าโธโรเบรดจะเริ่มแข่งเมื่อมีอายุได้ 2-3 ปี และจะแข่งขันเป็นระยะไกลเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของม้า พันธุ์ม้า และจำนวนเงินที่ได้จากการแข่งขัน เจ้าของม้าแข่งทุกตัวภาวนาให้ม้าของตนชนะการแข่งขัน Stakes race (การแข่งม้าที่เจ้าของม้าต้องวางเดิมพันลงไปเพื่อเป็นรางวับไม่ใช่สนามให้รางวัล) เพราะการแข่งแบบนี้ทำเงินได้ดี ม้าที่แข่ง stakes race ชนะจะได้ปลดระวางตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น Secretariat และ Man O, War มีลูกที่เป็น stakes winner ถึง 64 ตัว และมีหลาน 124 ตัว ก็เป็น stakes winner ส่วน Secretariat ก็มีลูกที่เป็น stakes winner ถึง 40 ตัว ซึ่งในจำนวนนี้มี Lady Secret ซึ่งเป็นม้ายอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 1986 และหลานของ Secretariat ก็เป็น stakes winner หลายตัวเช่นกัน

มีม้าหลายตัวที่เอาอย่าง Kelso ซึ่งได้รับตำแหน่งม้ายอดเยี่ยมแห่งปีถึง 5 ครั้ง และปลดระวางเมื่อมีอายุ 9 ปี John Hemy ซึ่งปลดระวางหลังจากที่คว้าเงินรางวัล 6.5 ล้านเหรียญไปได้นั้น ไม่ยอมเลิกแข่งเมื่ออายุยังน้อย ตอนที่ John Henry อายุ 2 ปี มันมีค่าตัวแค่ 1,100 เหรียญเท่านั้นเอง และในปี ค.ศ. 1984 มันก็ได้รับตำแหน่งม้ายอดเยี่ยมแห่งปีเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในขณะนั้น John Henry อายุได้ 9 ปีแล้ว ทั้ง Kelso และ John Henry ได้ทำหน้าที่ม้าแข่งได้เป็นระยะเวลานานและประสบความสำเร็จอย่างมาก

แม้ว่าม้าโธโรเบรดจะเป็นม้าแข่งชั้นแนวหน้าของศตวรรษที่ 2 แต่ม้าที่ชนะการแข่งขัน Triple Crown เท่านั้นที่จะได้ลงหน้าปกนิตยสาร Newsweek และ Time ในอดีต ถ้าม้าตัวไหนไม่มีความสามารถสูงนักก็ดูเหมือนจะไม่มีอนาคตที่สดใสเอาเสียเลย แต่เดี๋ยวนี้ม้าโธโรเบรดกลายเป็นม้าที่มีความสามารถรอบด้านไปเสียแล้ว กล่าวคือ ม้าแข่งที่มีอายุครบ 5 ปี ไม่ว่าจะมีค่าตัวสูงหรือต่ำ อาจปลดระวางจากสนามแข่งได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหน้าที่ของมันจะสิ้นสุดลง

ม้าโธโรเบรดเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีความสามารถทางด้านการแข่งขันสูง แต่ม้าพันธุ์นี้ก็มีความสามารถรอบด้านเช่นเดียวกัน แม้ว่าความสำเร็จในการแข่งขันจะลดน้อยลงไปบ้าง เมื่อมันมีอายุมากขึ้น แต่สัญญาณความเป็นนักแข่งและกำลังใจของมันจะยังคงอยู่ตลอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เจ้าของจึงใช้งานม้าอย่างระมัดระวังกว่าสมัยก่อน กล่าวคือ เมื่อม้าตัวใดถูกปลดระวางจากการแข่งขันแล้ว เจ้าของอาจจะนำไปฝึกให้มันล่าสัตว์ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง หรือเล่นโปโล ม้าพันธุ์อื่นน้อยตัวนักที่จะทำได้เหมือนม้าโธโรเบรด

เมื่อคิดถึงอดีตอันรุ่งเรืองของม้าโธโรเบรด ก็แทบจะนึกไม่ออกเลยว่า มันจะสร้างชื่อเสียงโด่งดังในด้านใดมากกว่านี้ได้อีก ม้าโธโรเบรดอาจถูกนำไปฝึกให้ล่าสัตวว์หรือเล่นโปโลแต่ความจริงแล้วมันยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน Kanchuger แห่ง Jockey Club กล่าวไว้ว่า "ม้าโธโรเบรดเล่นกีฬาได้ดีกว่าม้าพันธุ์อื่น เรียกได้ว่าเป็นม้านักกีฬาเลยทีเดียว คนก็เลยเริ่มรู้จักมันในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการวิ่งแข่ง

ม้าตัวหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของพันธุ์โธโรเบรดกว้างไกลออกไปจากการวิ่งแข่ง คือม้า Touch of Class แม่ม้าโธโรเบรดตัวนี้ได้รับเหรียญทอง 2 เหรียญในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคปี ค.ศ. 1984 ที่ลอสแองเจลลิส Touch of Class ได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกระโดดทั้งประเภทเดียวและประเภททีม โดยมี Joe Fargis เป็จ๊อกกี้ นับได้ว่ามันนำชื่อเสียงมาสู่ทั้งสหรัฐอเมริกาและมาให้กับพันธุ์โธโรเบรดด้วย

ด้วยร่างกายที่ปราดเปรียวว่องไว ผสมผสานกับจิตใจที่กล้าแกร่ง ทำให้ม้าชนิดนี้มีความสามารถอันไม่มีขีดจำกัด เพราะฉะนั้นคุณควรจะจับตาดูให้ดี ถ้ามีม้าตัวใดวิ่งได้เร็วเท่าเทียมกับม้าโธโรเบรด และพุ่งทะยานข้ามสิ่งกีดขวางด้วยความปราดเปรียวและสง่างามเช่นกัน คุณอาจจะถึงกับชะงักงันด้วยความประหลาดใจ และในคราวหน้าถ้าคุณมีโอกาสได้ดูม้าโธโรเบรดตัวโปรดในกีฬาโอลิมปิคแล้วละก้ออย่างประหลาดใจเลย ถ้ามันจะโผนขึ้นในอากาศ และทะยานขึ้นสู่เวหา บางทีม้าพันธุ์นี้อาจถูกลิขิตมาเพื่อการนี้ก็ได้

ม้าพันธุ์อาหรับ

ม้าพันธุ์อาหรับเป็นที่ชื่อชอบและนับถือมาก โดยเฉพาะแล่งกำเนิดของสายพันธุ์เป็นที่ยอมรับอันดับหนึ่งว่าเป็นสายพันธุ์ที่ดี เป็นพันธุ์แท้มันเป็นพันธุ์แท้ที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยโบราณของเผ่าพันธุ์ม้า

การขยายการแพร่พันธุ์ เผ่าพันธุ์ม้าอาหรับนี้มีอยู่บนคาบสมุทรอาราเบียนเมื่อ 2000 ปีก่อนยุคสมัยคริสเตียน นี่คือการแสองให้เห็นจากสิ่งที่อยู่จริง ที่มีหลักฐานปรากฏ ซึ่งเกี่ยวข้องกับม้าทะเลทราย สายเลือดม้าพันธุ์อาหรับมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก โดยชาวมุสลิมเป็นผู้นำเข้าครั้งแรก โดยจากการทำนายของชาวมุสลิมกว่า 7 ศตวรรษ ผลที่ตามมาทำให้ม้าพันธุ์อาหรับกลายเป็นแบบอย่างหลักในวิวัฒนาการของม้าทั่วโลก

ลักษณะเฉพาะ ม้าพันธุ์อาหรับมีลักษณะสวยงามที่สุด พร้อมกันนั้นก็มีความแน่นอนและที่เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะลืมได้ในการปรากฏตัวของมัน ลักษณะพิเศษเฉพาะในตัวมันครอบคลุมถึงขนาดการได้สัดส่วน และโครงสร้างของกระดูก ลักษณะพันธุ์ที่ไม่เหมือนกันคือ มีซี่โครง 16 ซี่ ท่อนล่าง 6 และส่วนท้าย 18 พันธุ์อาหรับมีรูปแบบ 17- 5 - 16 มันมีลักษณะเด่นในความสูงของขาทั้ง 4 มันเป็นพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งในกิจกรรมต่างๆ การเคลื่อนไหว และถึงแม้ว่ามันจะคึกคะนองและ มีความกล้าหาญ มันสามารถควบคุมคำสั่งได้ การควบคุมพันธุ์ และความแข็งแรงของพันธุ์ จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธุ์ของลมหายใจและขา ทำให้ม้าพันธุ์อาหรับเป็นตัวเลือกในการพัฒนาการฝึกฝนที่ต้องการความเร็ว ในช่วงเวลาที่ยาวนานหรือความอดทนในการควบม้า

ปัจจุบันนี้ม้าพันธุ์อาหรับมีการแพร่หลายไปอย่างมากที่สุด โดยในประเทศสหรัฐอเมริกามรการแพร่หลายม้าพันธุ์อาหรับอย่างมากในหลายๆเมืองได้มีการขยายพันธุ์ม้าพันธุ์อาหรับ จึงเป็นที่พึงพอใจและน่าสนใจ ในการประสานงานของสมาคมม้าพันธุ์อาหรับทั่วโลก

คำสำคัญ (Tags): #พันธ์ม้า#ม้า
หมายเลขบันทึก: 280324เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2009 12:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ได้ความรู้เรื่องม้าเพิ่มมากมายครับ ตอนเป็นเด็กที่บ้านเคยเลี้ยง เคยขี่ม้า ตอนนี้คิดอยากมีอีก แต่คงไม่ไหว ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท