การถ่ายภาพเอกซเรย์ทั่วไปของข้อต่อ (joint) มีข้อจำกัดคือ
ไม่สามารถแสดงความผิดปกติบริเวณกระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage)
เยื่อหุ้มข้อ (synovial
membrane)
และเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆได้
รวมทั้งให้ผลการวินิจฉัยแยกโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไขกระดูกบางอย่าง
เช่น การติดเชื้อของกระดูกทางกระแสโลหิตในระยะเริ่มแรก
การบาดเจ็บของไขกระดูก หรือมะเร็งบางชนิด ได้ไม่ชัดเจน
Arthrograghy
เป็นการตรวจพิเศษทางรังสีของข้อต่อของกระดูก และส่วนประกอบต่างๆ
เพื่อช่วยวินิจฉัยการฉีกขาดของ meniscus
และ ligament, fibrocartilage articular cartilage และ
loose bodies
เป็นต้น
หลักการ
คือ ฉีดสารทึบรังสี (contrast agents) เข้าข้อกระดูก (capsular space)
ประมาณ 4-5 ซีซี. ถ้าฉีดอากาศเข้าไปเรียกว่า pneumoarthrography ถ้าฉีดสารทึบรังสี
(ประเภท water-soluble iodinated contrast medium) เรียก opaque arthrography
แต่ถ้าฉีดทั้งสองอย่างร่วมกันเรียกว่า double-contrast arthrography
รังสีแพทย์จะตรวจดูทางจอภาพ (X-ray fluoroscopy)
และถ่ายภาพเอกซเรย์ของข้อกระดูกส่วนที่สงสัยหรือผิดปกติในท่าต่างๆ
สามารถตรวจได้ทั้ง ข้อสะโพก(hip) ข้อศอก (elbow) หัวไหล่
(shoulder) ข้อมือ (wrist) ข้อเข่า (knee joint)
และข้อต่อเทมเพอโรแมนดิบูล่า (temperomandibular joints)
ก่อนที่จะทำการตรวจ ต้องฉีดยาชาเฉพาะที่ให้แก่ผู้ป่วย
ซึ่งจะทำในห้องตรวจเอ็กซเรย์ ที่สามารถทำ fluoroscopy ได้
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
- เพื่อดูรูปร่าง ลักษณะของข้อกระดูก
- เพื่อหาความผิดปกติของข้อกระดูก เช่น การอักเสบ
การฉีกขาดของข้อหรือเอ็น และเนื้อเยื่อ เป็นต้น
ข้อบ่งห้ามในการตรวจ
- แพ้สารทึบรังสี
- แพ้ยาชาเฉพาะที่
- มีการติดเชื้อในข้อ หรือ รอบๆข้อ
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
- ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้ตามปกติ
- ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่มีโลหะ และสะดวกต่อการตรวจ เช่น
สวมกางเกงขาสั้นในรายที่ตรวจข้อกระดูกเข่า
เสื้อยืดแขนสั้นในรายที่ตรวจข้อหัวไหล่ เป็นต้น
คำแนะนำแก่ผู้ป่วย
- รังสีแพทย์จะฉีดสารทึบรังสี
และตามด้วยการฉีดลมเข้าข้อกระดูก ถ้าเป็นข้อเข่า
ก็คือบริเวณใต้ลูกสะบ้า ถ้าเป็นข้อไหล่
ก็คือบริเวณระหว่างข้อหัวไหล่
ผู้ป่วยจะรู้สึกตึงและแน่นอึดอัดบริเวณข้อกระดูกที่รังสีแพทย์ฉีดสารทึบรังสี
- รังสีแพทย์จะถอนเข็มออกและปิดแผลด้วยผ้าก๊อส
- ผู้ป่วยจำเป็นต้องงอและยืดข้อกระดูกที่ตรวจสลับกัน ประมาณ 20-30
ครั้ง จากนั้นรังสีแพทย์
จะตรวจหาความผิดปกติของข้อจากจอภาพเครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปี
ผู้ป่วยควรเปลี่ยนท่าตามคำแนะนำของรังสีแพทย์ เช่น นอนหงาย
นอนคว่ำ นอนตะแคงซ้าย - ขวา เป็นต้น
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจ
- เครื่องเอกซเรย์ฟลูออโรสโคปี
- ผ้า sterile สี่เหลี่ยมเจาะรูตรงกลาง
- เข็มเบอร์ 18, 20, 21 และ 25 สำหรับฉีดยาชา, ฉีดสารทึบรังสี
- three way
- syringe ขนาด 10 ml และ 50 ml
- ผ้าก๊อส ซับโลหิต
วิธีทำ (กรณีตรวจเข่า)
- ให้ผู้ป่วยนั่งงอเข่าปลายเตียงเอกซเรย์
ทำความสะอาดบริเวณหัวเข่าข้างที่จะทำด้วยการโกนขน และเช็ดด้วยน้ำยา
antiseptic แล้วคลุมด้วยผ้า sterile สี่เหลี่ยมเจาะรูตรงกลาง
- คลำหา patella จะเห็นส่วนบุ๋มอยู่ 2 ข้างใช้ syringe ขนาด 10 ml
ดูดยาชาเฉพาะที่ เช่น Xylocaine 2-5 ml
ฉีดเข้าทางด้านที่ไม่เจ็บตรงรอยบุ๋มดังกล่าว
- ใช้เข็มเบอร์ 20 แทงเข้าไปตรงรอยบุ๋มข้างที่ฉีดยาชา
ดันเข็มเข้าทางด้านหลังของ pattella ให้ทิศทางของปลายเข็มหันไปทาง
medial และ upward ต่อ patella เล็กน้อย เพื่อให้ปลายเข็มเข้าไปอยู่ใน
capsule แล้วดูดเอา synovial fluid ออกมาให้ได้มากที่สุด ด้วย syringe
ขนาด 10 ml
- หลังจากนั้น ใช้ syringe ขนาด 50 ml Blow air เข้าไป 25-30 cc.
แล้วฉีด water soluble contrast medium ตามเข้าไปอีก 2-3 cc
แล้วแต่ขนาดของหัวเข่า เราจะไม่ใช้ oil contrast medium
เพราะ oil จะเข้าไปอยู่ได้นาน absorb ช้า อาจทำให้เกิด granuloma ได้
แล้วดึงเข็มออก ระวังอย่าให้ air leak ออกมา
- ให้ผู้ป่วยลุกเดินไปรอบๆ ห้องสักพัก เพื่อให้ contrast medium
กระจายทั่วๆ ข้อเข่า ต่อจากนั้นให้ตรวจผู้ป่วยโดยใช้
เครื่องเอกซเรย์ fluoroscopy
- ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำบนเตียง ขณะที่รังสีแพทย์ flu ดูข้อเข่า
ต้องมีผู้ช่วย 1 คนยืนอยู่ปลายเตียง คอยดึงขาผู้ป่วย
ให้ยืดลงทางด้านล่างตลอดเวลา
- ถ้าต้องการดู medial
meniscus ก็ให้ผู้ช่วยดันเข่าทาง lateral เข้าไปทาง medial
ให้มากๆ ขณะเดียวกันรังสีแพทย์จะหมุนขาผู้ป่วยไปเรื่อยๆ เพื่อดู
meniscus ทางด้าน medial นิยมหมุนจากข้างหลังไปข้างหน้า ทีละประมาณ 10
องศา ก็จะ spot ได้ด้านละ 8-9 รูป
- ถ้าต้องการดู lateral meniscus ก็ให้ผู้ช่วยดันเข่าทาง medial
ออกไปทาง lateral เพื่อให้ joint ด้านที่ต้องการจะดูเปิดกว้างขึ้น
ขณะเดียวกันรังสีแพทย์จะหมุนขาผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ทีละประมาณ 10
องศา เพื่อดู meniscus ทาง lateral
- ดังนั้นเราจะเห็น meniscus เต็มทั้งวง ทั้งmedial และ lateral
meniscus
- หลังจาก spot film แล้ว ต้องถ่าย Plain film knee
joint ท่า AP และ lateral ด้วย
การที่เราใช้เทคนิคนี้ในการดู meniscus โดยเฉพาะ ก็เพราะ lesion
ที่เกิดมักเกิดที่ meniscus contrast media
ที่ฉีดเข้าไปจะถูกดูดซึมไปจนหมดภายใน 1/2 ชม. ส่วน air
ก็จะถูกดูดซึมหมดภายใน 3วัน และ synovial fluid
ก็จะหลั่งออกมาเองภายหลัง
ภาพเอกซเรย์ Artrogram ของข้อสะโพก
ภาพฟลูออโรสโคปีของหัวไหล่
ภาพฟลูออโรสโคปีของข้อมือ
ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
คือ
อาจเกิดการติดเชื้อจากเครื่องมือที่ทำที่ไม่สะอาด
คำแนะนำแก่ผู้ป่วยภายหลังการตรวจ
- รับประทานอาหารได้ตามปกติ
- สารทึบรังสีและลม ที่รังสีแพทย์ฉีดเข้าข้อ (เช่น
กระดูกเข่า/ข้อหัวไหล่) จะถูกดูดซึมและสลายไปเองอย่างรวดเร็ว
ไม่สะสมในร่างกาย
- ถ้ามีอาการปวดข้อกระดูก จากการตรวจ สามารถรับประทานยาแก้ปวด
ตามคำสั่งแพทย์ได้
- ประคบน้ำอุ่นบริเวณข้อกระดูก ที่รังสีแพทย์ฉีดสารทึบรังสี
เพื่อลดอาการปวด และบวม
- ถ้ามีอาการปวด บวมหรือแดง บริเวณข้อกระดูกเพิ่มมากขึ้น
หรือมีเลือดออก ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
โรคและอาการผิดปกติของ meniscus ที่พบบ่อย
-
Tear
meniscus มักเกิดจากอุบัติเหตุ
เป็นอาการที่พบมากที่สุด ภาพรังสีจะเห็นเป็นรอยแตก ทำให้ contrast
media หรือ air เข้าไป fill ให้เห็น รักษาโดยการผ่าตัด
-
Discoid meniscus
มักเป็น congenital disease ผู้ป่วยมีอาการเดินไม่ถนัด ภาพรังสีจะเห็น
meniscus ยืดยาวออก ถ้ามองด้านตัดขวางแทนที่จะเห็น
meniscus เป็นรูปตัว C จะเห็นเป็นรูปตัว O
-
Pigmented villonodular
synovitis เป็นโรคชนิดหนึ่งของ meniscus
แต่พบน้อยมาก
ข้อด้อยของ arthrography คือเป็นการตรวจแบบรุกราน (invasive)
ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด
เนื่องจากต้องแทงเข็มเข้าไปในข้อเพื่อฉีดสารทึบรังสีและอากาศเข้าไป
ในปัจจุบันจึงไม่ค่อยนิยมทำกัน
ในปัจจุบันเรานิยมใช้ MRI (Magnetic Resonance
Imaging)ในตรวจแทน Arthrography
เพราะว่าคนที่แพ้สารทึบรังสี แพ้ยาชา เฉพาะที่หรือ มีการติดเชื้อในข้อ
และรอบๆ ข้อ สามารถตรวจได้ อีกทั้งในการตรวจ MRI
ยังเป็นการตรวจพิเศษที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดอันเนื่องมาจากการฉีดยาชาหรือ
การแทงเข็ม และขั้นตอนการตรวจไม่ยุ่งยาก
MRI
เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ให้ภาพที่มีรายละเอียดชัดเจน ช่วยแยกเนื้อเยื่อกับกระดูกได้ดี
สามารถตรวจได้หลายระนาบ ทั้งระนาบตัดขวางลำตัว (axial plane)
ระนาบตัดหน้า-หลังลำตัว (coronal plane) และระนาบตัดซึกซ้าย-ขวาลำตัว
(sagitial plane)
บทบาทของ MRI ที่นำมาใช้ช่วยในการวินิจฉัยเรื่องกระดูกหักข้อเคลื่อน มีดังนี้
- กรณีสงสัยว่ากระดูกหัก แต่ตรวจไม่พบจากภาพเอกซเรย์ทั่วไป (plain
film) เช่นกรณีของ stress fracture
- ตรวจหาความผิดปกติของ ligaments and tendons กรณีบาดเจ็บบริเวณข้อ
โดยเฉพาะข้อเข่า
ภาพรังสีธรรมดาตรวจไม่พบความผิดปกติแต่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บ
และแพทย์สงสัยว่าจะมีการฉีกขาดของ ligaments การตรวจด้วย MRI
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าสามารถวินิจฉัยพยาธิสภาพของข้อต่อ
ได้ถูกต้องแม่นยำมาก สามารถแสดงให้เห็นภาพฉีกขาดของ
meniscus aniterior และ postesior cruciate
ligament ได้ชัดเจน และสามารถบอกถึงลักษณะ /
ปริมาณของน้ำในข้อเข่าได้อีกด้วย
นอกจากนี้บริเวณหัวไหล่ กรณีที่สงสัย Rotator cuff tear
ปัจจุบันก็สามารถตรวจพบได้จากภาพ MRI
- โรคแทรกซ้อนจากกระดูกหัก ข้อเคลื่อน
ทำให้มีเลือดคั่งในเนื้อเยื่อก็สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจ MRI
- กรณี Battered-child syndrome
ซึ่งมีปัญหาจากการถ่ายภาพรังสีธรรมดาการตรวจพิเศษด้วย MRI
จะช่วยวินิจฉัยโรคได้
ข้อบ่งชี้ในการส่งตรวจ
MRI ของข้อต่อและกล้ามเนื้อ
โดยมากแพทย์จะส่งตรวจ MRI
ของข้อต่อและกล้ามเนื้อในกรณีที่สงสัยโรคที่เกี่ยวกับข้อในผู้สูงอายุเช่น
- ข้ออักเสบ(Arthritis)
- หมอนรองข้อเข่าฉีกขาด(Meniscus tears)
- กระดูกแตกหรือหักในข้อต่อที่มีความซับซ้อน เช่นข้อมือ (Wrist
joints)ข้อเท้า(Ankle joints)
- ความผิดปกติของข้อต่อที่มีสาเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
เช่นการฉีกขาดของเอ็น(Tendon) ที่เป็นส่วนประกอบของข้อต่อนั้นๆ
- การบาดเจ็บของข้อต่อที่มาจากการเล่นกีฬา
และการบาดเจ็บของข้อต่อที่มาจากการทำงานหนัก
- มีการติดเชื้อหรืออักเสบบริเวณข้อต่อ(Osteomyelitis)
- มีก้อนมะเร็งซึ่งทำลายกระดูกที่เป็นส่วนประกอบของข้อต่อนั้นๆ
- มีอาการปวด บวม หรือมีเลือดออกบริเวณข้อต่อ
อย่างไรก็ตามการส่งตรวจเอ็กซเรย์ทั่วไปมีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก
ส่วนการทำ MRI
มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
การพิจารณาส่งตรวจแบบใดจึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้ตรวจรักษา
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการส่งตรวจเป็นสำคัญ
เนื่องจากภายในห้องตรวจ MRI มีสนามแม่เหล็กเปิดตลอดเวลา
ดังนั้นจึงไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์บางประเภทอยู่ในร่างกาย
เพราะจะทำให้ภาพบิดเบี้ยว ผิดรูป ไม่ตรงกับลักษณะจริง
(Distortion) ได้ ผู้ป่วยที่มีอุปกรณ์ต้องห้ามเหล่านี้ได้แก่
- ผู้ป่วยที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ(Cardiac pacemaker)
- ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่ลวดหนีบหลอดเลือด(Vascular
clip,Aneurysm clip)
- ผู้ป่วยที่มีการผ่าตัดใส่เครื่องช่วยการได้ยินในรูหูชั้นใน(Inner
ear implant)
- ผู้ป่วยที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียม(Heart valve prosthesis)
- ผู้ป่วยที่ใส่ขดลวดภายในหลอดเลือด(Vascular stent,filter or
coil)
- ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นประสาท(Neurostimulation system)
- ผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะตั้งครรภ์หรืออยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่มีเหล็กจัดฟัน
- ผู้ป่วยที่มีกระสุนฝังอยู่ในร่างกาย
- ผู้ป่วยที่เขียนขอบตาถาวร
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง(Chronic Renal Failure)
ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ ในกรณีที่จะต้องมีการฉีดสารทึบรังสี (Contrast
media)
- ผู้ป่วยกลัวที่กลัวการอยู่ในที่แคบ(Claustrophobia)
เครื่องประดับและของใช้ประจำตัวที่ต้องถอดหรือเก็บ
ก่อนเข้าห้องตรวจ MRI ได้แก่
- กิ๊ปหนีบผม
- นาฬิกาแบบเข็ม
- บัตรเครดิต
- บัตรเอทีเอ็ม
- โทรศัพท์มือถือ
- เครื่องช่วยฟัง
- เหรียญสตางค์ต่างๆ
- กุญแจ
- คลิปหนีบกระดาษ
- ปากกา
- แว่นตา
- ของมีคม
- ถังออกซิเจน
- เครื่องให้น้ำเกลืออัตโนมัติ (Infusion pump)
- เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Holter monitor)
ลักษณะของเครื่อง
MRI
เครื่อง MRI มีลักษณะเป็นอุโมงค์ยาวเปิดด้านหัวและด้านท้าย
โดยให้ผู้ป่วยนอนลงบนเตียงตรวจและใช้อุปกรณ์เฉพาะสำหรับการตรวจข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ
(Coil)
ครอบหรือห่อหุ้มบริเวณข้อต่อหรือกล้ามเนื้อส่วนที่ต้องการตรวจเอาไว้
จากนั้นผู้ป่วยจะถูกเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์
ซึ่งภายในอุโมงค์จะมีไฟให้แสงสว่างและพัดลมให้ความเย็น
เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยต้องนอนอยู่ในเครื่อง MRI เป็นเวลานาน
ทำให้รู้สึกร้อนขึ้น และทำให้ผู้ป่วยมีเหงื่อออก
ข้อควรปฏิบัติก่อนการตรวจ MRI
- ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและถอดชุดชั้นในออก
โดยใส่ชุดที่โรงพยาบาลจัดให้
- ให้ผู้ป่วยเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมด
เนื่องจากเครื่องสำอางมีส่วนผสมของโลหะ จะมีผลต่อคุณภาพของภาพ
- ถอดฟันปลอมของผู้ป่วยออก ถ้าเป็นแบบที่สามารถถอดออกได้
- ถอดเครื่องช่วยฟังของผู้ป่วยออก เพราะถ้านำเข้าห้อง MRI
เครื่องช่วยฟังจะเสียหายได้
- ในกรณีที่ผู้ป่วยเด็กหรือ ผู้ป่วยที่กลัวที่แคบ
หรือผู้ป่วยไม่สามารถให้ร่วมมือในการตรวจได้
แพทย์อาจจำเป็นต้องให้ยานอนหลับ
ดังนั้นจึงให้ผู้ป่วยงดอาหารและน้ำก่อนตรวจ 4 - 6 ชั่วโมง
- ในกรณีที่ต้องฉีดสารทึบรังสี (Contrast media)
พยาบาลควรจะแทงเข็มบริเวณหลังมือหรือข้อพับก่อนเข้าตรวจ
คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเพื่อให้ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นและการปฏิบัติตัวขณะตรวจ
MRI ของข้อต่อและกล้ามเนื้อ
- นักรังสีเทคนิคจะจัดให้ผู้ป่วยนอนหงายลงบนตียงตรวจ MRI
และจัดวางอุปกรณ์เฉพาะสำหรับตรวจข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ(Coil)
ครอบไว้ระหว่างทำการตรวจ
- พยาบาลจะใส่ที่อุดหู (Ear plugs) ให้กับผู้ป่วยก่อนทำการตรวจ
เนื่องจากขณะที่เครื่อง MRI ทำงานจะมีเสียงดัง
- ในระหว่างการถ่ายภาพ (Scan)
นักรังสีเทคนิคจะคอยเฝ้าระวังให้ผู้ป่วยอยู่นิ่ง
เพราะจะต้องถ่ายภาพหลายเทคนิค และการถ่ายภาพแต่ละเทคนิค
กินเวลาประมาณ 3-5 นาที ซึ่งเป็นระหว่างเวลาที่อวัยวะต้องนิ่ง
มิฉะนั้นภาพที่ได้จะไม่คมชัด
- ระหว่างถ่ายภาพ ผู้ป่วยอาจจะรู้สึกว่า
บางช่วงเตียงที่นอนอยู่สั่นและเลื่อนเข้าออก ซึ่งเป็นการดำเนินการตามปกติของเทคนิคการถ่ายภาพ
ไม่ต้องวิตกกังวลใดใด
- หากผู้ป่วยมีปัญหาระหว่างการตรวจ
สามารถติดต่อนักรังสีเทคนิคที่ควบคุมเครื่องได้ตลอดเวลาโดยการบีบลูกบอลที่เจ้าหน้าที่ให้ถือไว้ในมือ
- สำหรับผู้ป่วยบางคน รังสีแพทย์อาจพิจารณาให้ฉีดสารทึบรังสี
(Contrast media) ร่วมด้วย
เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยให้แน่ชัดยิ่งขึ้น
- ผู้ป่วยสามารถร้องขอต่อเจ้าหน้าที่
ให้อนุญาตนำญาติของผู้ป่วย เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนในห้อง MRI ได้
ข้อดีของการตรวจ
MRI ของข้อต่อและกล้ามเนื้อ
-
ภาพที่ได้จะเห็นรายละเอียดของเนื้อเยื่อและส่วนประกอบต่างๆของข้อต่อและกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจนกว่าการตรวจโดยเครื่องมือชนิดอื่นๆ
จึงทำให้รังสีแพทย์สามารถตรวจพบการฉีกขาดของเอ็น(Tendon)
หรือเนื้อเยื่อต่างๆ แม้จะมีขนาดที่เล็กมาก
- การตรวจด้วยเครื่อง MRI ไม่ได้ใช้รังสีเอกซ์ในการถ่ายภาพ
จึงปลอดภัยจากการได้รับปริมาณรังสีดูดกลืนในร่างกาย
-
สามารถตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อและกล้ามเนื้อได้หลากหลายกว่าการตรวจทางรังสีวิทยาอื่นๆ
การส่องกล้องตรวจข้อเข่า
(Knee
Artroscopy)
ในบางกรณีทั้งการตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ทั่วไปและตรวจด้วย MRI
ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรฉีกขาดบ้าง แพทย์อาจพิจารณาใช้กล้องส่องเข้าไปภายในข้อเข่า
(Knee Artroscopy)
เพื่อดูด้วยตาของแพทย์ให้แน่ใจว่ามีส่วนใดผิดปกติบ้าง
ซึ่งการส่องกล้องนี้จำเป็นต้องทำในห้องผ่าตัด
เพื่อป้องกันการติดเชื้อและจำเป็นต้องทำให้ผู้ป่วยไม่เจ็บปวด
ซึ่งต้องอาศัยวิสัญญีแพทย์ (แพทย์ดมยา) ให้ยาชาเฉพาะที่
เช่นการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังเพื่อให้อวัยวะที่อยู่ต่ำกว่าบั้นเอวลงไปถึงปลายเท้า
หมดความรู้สึกเจ็บปวดซึ่งภาษาที่ใข้เรียกกันทั่วไปว่า “บล็อคหลัง” ทางการแพทย์เรียกว่า REGIONAL
ANASTHESIA (การทำให้เกิดการชาเฉพาะส่วน)
ผู้ป่วยบางรายต้องการให้สลบไปเลยระหว่างการส่องกล้อง
แพทย์ดมยาอาจใช้วิธีดมยาสลบก็ได้
การผ่าตัดข้อโดยการส่องกล้อง (Arthroscope)
เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก
แพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านกล้องในห้องผ่าตัด เจาะสองรูใต้ลูกสะบ้า
รูหนึ่งใช้สอดกล้องที่ต่อกับจอภาพ (monitor)
อีกรูหนึ่งใส่เครื่องมือพิเศษที่ใช้ในการทำผ่าตัดผ่านกล้อง
ตลอดการผ่าตัด จะมีแผลเพียงสองรูเท่านั้น
เครื่องมือที่ใช้ในการทำผ่าตัดนี้สามารถล้างเศษชิ้นส่วนของกระดูกอ่อนที่เกิดจากการสึกหรอของข้อที่ลอยปนอยู่ในน้ำข้อเข่า
และดูดสารน้ำอักเสบในข้อเข่าออก แพทย์สามารถมองเห็นผิวกระดูกอ่อน
หมอนรองกระดูก ความสมบูรณ์ของเนื้อเยื่อในข้อเข่า
สามารถประเมินขอบเขตที่สึกหรอในเข่าได้ดีขึ้น
มากกว่าข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายทางรังสี นอกจากนี้
หากแพทย์พบกระดูกอ่อนสึกหรอ มีขอบเปิดเผยอ
แพทย์สามารถใช้เครื่องมือเข้าไปกรอให้ขอบเรียบมากขึ้น
เพื่อชะลอการสึกหรอได้ กรณีที่กระดูกอ่อนสึกหรอจนเห็นชั้นกระดูกจริง
แพทย์สามารถใช้เครื่องมือกระตุ้นให้มีการเกิดใหม่ชองชั้นพังผืดแทนชั้นของกระดูกอ่อนเดิมได้
ถึงแม้ว่าชั้นของพังผืดจะไม่มีคุณสมบัติในการหล่อลื่น
และยืดหยุ่นเท่ากระดูกอ่อนเดิม
แต่สามารถช่วยลดการปวดเข่าในขณะใช้งานได้ระดับหนึ่ง ภาวะข้อเข่าเสื่อม
โดยส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วยในอายุมาก เช่น อายุมากกว่า 50 ปี
ขึ้นไป
การส่องกล้องเข้าไปเอาสิ่งสกปรกที่เกิดจากการสึกของข้อออกมา
ช่วยให้แพทย์สามารถทำผ่าตัดโดยใช้แผลผ่าตัดขนาดเล็กมาก
ในลักษณะการเจาะรูเล็กๆ บริเวณข้อเข่า เพื่อสอดกล้องเข้าไปในข้อเข่า
ซึ่งต่างจากในอดีตที่จำเป็นต้องทำผ่าตัดด้วยแผลขนาดใหญ่
การผ่าตัดโดยใช้วิธีการส่องกล้องจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยสูง
มีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยมาก
ผู้ป่วยสามารถเดินลงน้ำหนักได้ทันทีหลังรับการผ่าตัด
และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถกลับบ้านและสามารถกลับไปทำงานตามปกติได้อย่างรวดเร็ว
ข้อบ่งชี้ในการทำ
Artroscope
- ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่า
มีภาวะข้อเข่าเสื่อมในขั้นเริ่มต้นหรือปานกลาง
โดยไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยการทานยาหรือการปรับวิธีการปฏิบัติตัวในการใช้ข้อเข่า
แนะนำให้ทำการผ่าตัดเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุอื่นที่อาจทำให้มีอาการปวดข้อเข่าเรื้อรังมานาน
- ผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมมาก
แต่อายุยังน้อยเกินกว่าจะทำการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม
ข้อดีของ
Artroscope
การส่องกล้องเข้าไปในข้อเข่าเพื่อตรวจวินิจฉัยให้ได้ว่าภายในข้อเข่ามีสิ่งใดผิดปกติบ้างจะทำให้ได้คำตอบที่ชัดเจน
และหากมีพยาธิสภาพ หรือสิ่งผิดปกติใดที่สามารถจะแก้ไขได้ทันที เช่น
หมอนรองกระดูกฉีกขาดเป็นชิ้นหรือเป็นแผ่น (loose bodies menicus)
ที่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของผิวข้อเข่าที่มีลักษณะเรียบจะมีอะไรมาขวางหรือทำให้เกิดการสะดุดไม่ได้
(เปรียบเช่นมีก้อนกรวดหรือทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเวลาเดิน)
แพทย์ผู้ส่องกล้องก็จะทำการแก้ไขไปเลย
โดยการตัดแต่งส่วนที่ไม่เรียบให้ขอบของหมอนรองกระดูกที่เหลืออยู่มีความเรียบ
ซึ่งถือเป็นการรักษาไปด้วยเลยในตัว
ดังนั้นการส่องกล้องเข้าไปในข้อเข่าสามารถที่ทำหน้าที่ได้ทั้งการตรวจวินิจฉัย
และเป็นการรักษาไปด้วยในตัว เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
แต่ก็มีข้อคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและปัญหาแทรกซ้อนเช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่นๆ
ซึ่งแพทย์ผู้รักษาต้องอธิบายทั้งข้อดีและข้อเสียต่างๆให้ผู้ป่วยและญาติเกิดความเข้าใจเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย
ประโยชน์ของการผ่าตัดส่องกล้อง
- ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นสภาพภายในข้อเข่าได้อย่างชัดเจน ดังนั้น
แพทย์จะสามารถวินิจฉัยความรุนแรงความเสื่อมของข้อเข่าได้อย่างละเอียด
แพทย์มีข้อมูลมากขึ้นในการให้คำแนะนำ
วิธีปฏิบัติตัวของผู้ป่วยในการป้องกัน
และรักษาอาการปวดหรืออาการบวมที่เกิดจากภาวะข้อเข่าเสื่อม
ได้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น
- ในระหว่างที่แพทย์ทำการผ่าตัดส่องกล้องข้อเข่านั้น
จะมีการล้างน้ำภายในข้อเข่าให้สะอาด
เพื่อเอาเศษกระดูกอ่อนที่สึกหรอและลอยอยู่ในข้อเข่าออกให้มากที่สุด
ซึ่งจะลดการเสียดสีเวลาเคลื่อนไหวข้อเข่า
จึงเป็นการช่วยทั้งลดอาการที่เกิดจากข้อเข่าอักเสบ
ลดอาการปวดของข้อเข่า และนอกจากนี้ยังพบว่า
จะช่วยลดเสียงที่เกิดขึ้นเวลามีการเคลื่อนไหวข้อเข่า
-
ปัจจุบันมีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการรักษาผิวกระดูกอ่อนที่พบว่ามีการสึกหรอ
ในขณะทำการผ่าตัดส่องกล้อง
คล้ายลักษณะการทำแผลผิวกระดูกอ่อนที่สึกหรอให้หายเร็วยิ่งขึ้น
และช่วยป้องกันการขยายตัวของบาดแผลบริเวณผิวกระดูกอ่อน
ข้อจำกัดในการรักษา
ต้องเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสม ซึ่งในกรณีที่เลือกผู้ป่วยที่เหมาะสมแล้ว
แพทย์สามารถคาดหวังผลการรักษาได้สูงถึง 70%
การรักษาวิธีนี้ไม่สามารถทำให้อาการข้อเข่าเสื่อมหายขาดได้
แต่ช่วยชะลอความรุนแรงของอาการข้อเข่าเสื่อมได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพและความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อมด้วย
จึงเป็นการผ่าตัดที่ช่วยยืดเวลาในการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าให้กับผู้ป่วยที่ยังอายุน้อยได้ดีในระดับหนึ่ง
ขอขอบคุณ web อ้างอิง
http://www.mrithai.com/index.php/mri-exams/53-mri-musculoskeletal/73-mri-musculoskeletal.html?tmpl=component&print=1&page=
http://www.vejthani.com/Center/TJR-center/index.php