วันที่ 27 มิถุนายน 2548 นี้ จะครบรอบ 1 ปี ที่ฉันรู้จักกิตติพงษ์ ศิลปวงศ์เจริญ หรือ “หมิง” ในฐานะ ‘เคส’ ที่ฉันต้องดูแล โดยการมอบหมายจากอาจารย์แหวว (รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร) เป็น 1 ปีที่ในแง่ของรายละเอียดในตัวมันเองแล้ว มีเนื้อหาที่เป็นบทเรียนบทใหม่ทั้งสำหรับตัวเคสและคนรับผิดชอบเคส แต่ในแง่ของความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาให้เคสแล้ว สำหรับฉันแล้ว-ฉันคิดว่ามันเพิ่งเริ่มต้นอย่างหนักแน่น จริงจังเมื่อต้นปีมานี้เอง
27 มิถุนายนปีที่แล้ว คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเวทีประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นในหัวข้อ “คนไร้รัฐและคนไร้สัญชาติในประเทศไทย : คืออะไร? แก้ไขอย่างไรดี” ช่วงหนึ่งของงานในวันนั้น พิธีกรได้ขอให้คนไร้สัญชาติที่มาร่วมงานยืนขึ้นเพื่อแนะนำตัว เมื่อถึงคิวที่หมิงถูกเรียกชื่อ ฉันจำได้ว่า หมิงยืนขึ้นด้วยอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนเลิกงาน แว่บหนึ่งที่ฉันเห็นหมิงให้สัมภาษณ์นักข่าว ทำให้หมิงดูเป็นคนปรับตัวได้ดีและเร็ว ...หรืออาจเป็นเพราะว่าหมิง อยู่กับ ‘ความไม่แน่นอนของอนาคต’ มาแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเวลาที่นานพอที่จะสอนให้หมิงเรียนรู้ถึงการปรับตัว ปรับใจเพื่อรับมือกับอนาคตที่จะมาถึง...
1. การทำความรู้จักกัน ‘และ/หรือ’ การสอบข้อเท็จจริงเคส
แม้หมิงจะไม่ใช่ ‘เคส’ แรก แต่ฉันก็ยังมีอาการแบบนี้เสมอ-คือ หลังการทบทวนในใจถึงคำถาม ลำดับคำถาม มักต้องตามด้วยการผ่อนลมหายใจยาวๆ สักครั้ง-เป็นทุกครั้งที่ต้องเริ่มทำความรู้จักกับเคส หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “การสอบข้อเท็จจริง”-อาการที่ว่านี้เกิดจาก ความกังวลในใจว่า ฉันเนี่ย-จะสามารถทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนสำหรับปัญหาของคนที่จะมานั่งตรงหน้าฉันในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
การทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นในเย็นของวันที่ 12 กรกฎาคม 2547 ณ ห้องประชุม 4050 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีหมิง คุณแม่หมิง (นางซูง้อ แซ่ง้อ) และสง น้องชายของหมิง วันนั้น เรา 2 คน คือ ชลฤทัย แก้วรุ่งเรืองและฉันช่วยกันสอบข้อเท็จจริง โดยมีอาจารย์แหวว นั่งกำกับ รวมถึงร่วมซักถาม และ ‘ให้คำแนะนำ’ เวลาที่ฉันหรือชล ‘ไม่เข้าท่า’
ความเป็นมาของครอบครัวหมิง
แม่ของหมิงเล่าว่า พ่อของหมิงนั้น เป็นคนสัญชาติจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในรัฐไทย โดยมีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล คือ ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเลขที่ 73/2491 ออกให้โดยสถานีตำรวจอำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2491 และมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ เลขที่ กต./33-91 ออกให้โดยกองตรวจคนเข้าเมือง อำเภอยานาวา จังหวัดพระนครเมื่อวันที่ 16มกราคม 2491 ต่อมาพ่อของหมิงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่จังหวัดหนองคาย โดยประกอบอาชีพช่างทอง และเดินทางค้าขายไปมาระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ จนได้พบรักกับแม่ของหมิง
แม่ของนายหมิงนั้น เป็นลูกคนโตของครอบครัวคนจีนที่อพยพไปตั้งรกรากในลาว พ่อกับแม่ของแม่หมิง นั้น อพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ไปเวียดนาม แล้วก็โยกย้ายมาลาว อาศัยอยู่ที่เมืองปากเซ มีลูกทั้งหมด 7 คน แม่ของหมิงเป็นลูกคนสุดท้อง เกิดที่เมืองปากเซ ในปี 2487 ต่อมาครอบครัวของแม่หมิงย้ายภูมิลำเนามายังเวียงจันทน์ ตอนนั้นแม่ของหมิงอายุประมาณ 10 ปี แม่และพ่อของหมิงพบกัน รักกันและอยู่กินกันที่เวียงจันทน์ อย่างไรก็ดี พ่อของหมิงก็ยังคงเดินทางค้าขายไป-มาระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์
ปี 2517-2518 เกิดการปฏิวัติในลาว ทุกคนในครอบครัวพยายามหาทางออกจากลาว โดยทำเรื่องของหนังสือเดินทางและวีซาจากสถานฑูตจีนในลาว และหาตั๋วเครื่องบินเพื่อหนีไปยังฮ่องกง พ่อของแม่ หมิง และน้องคนที่ 4-6 สามารถบินไปยังฮ่องกงได้ ส่วนแม่ของแม่หมิงและน้องคนที่ 2 บินไปยังมาเก๊าเพื่อไปสมทบกับพ่อและพี่น้องที่ฮ่องกง เนื่องจากแม่ของหมิงไม่ อยากแยกจากกับพ่อ แม่ของหมิงจึงตัดสินใจหนีภัยการสู้รบในลาวเข้ามาในไทย ส่วนน้องสาวคนที่ 3 นั้น แม่ของหมิงก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่สาวจึงไม่หนีไปพร้อมกับพ่อแม่พี่น้อง แต่กลับหนีเข้ามาในไทยพร้อมกับแม่ของหมิง และตัดสินใจเข้าไปอยูในศูนย์อพยพ จนเวลาต่อมาพี่สาวคนนี้ได้ลี้ภัยไปยังรัฐที่สาม คือ ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบัน และได้มีฐานะเป็นคนชาติของสหรัฐฯ แล้ว
วันที่พ่อพาแม่ของหมิงหนีเข้ามาในไทยนั้น อย่าว่าแต่ “เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล” ว่าเป็นคนลาว เลย ทรัพย์สินที่ติดตัวมาก็เท่าที่จำเป็นและคว้าฉวยได้ทันในตอนนั้นเท่านั้น
แม่ของหมิงเล่าว่าตอนนั้น ด้วยคำเตือนถึง “สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย” จากปากหลายคนที่รู้จัก ทำให้พ่อต้องให้แม่อยู่แต่ในบ้าน ตื่นเช้าก็หุงหาอาหารให้พ่อกินก่อนออกไปทำงาน หลังจากนั้นแม่ก็ต้องอยู่คนเดียว ทำงานบ้านระเรื่อยไปจนถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นรอรับพ่อ แม่ไม่เคยได้ออกไปไหนเกินตลาดที่ซื้อกับข้าวเลย แน่นอน-ด้วยความกลัวตามคำเตือน ทำให้แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า บ้านที่อยู่นั้น อยู่ตรงไหนของจังหวัดหนองคาย
วันที่คลอดหมิง หมอตำแยถูกตามตัวมาที่บ้าน วันนั้นเป็นวันที่ 24 ธันวาคม 2519 แน่นอน-หมิงไม่มีใบเกิด เพราะพ่อไม่กล้าไปแจ้งเกิด ด้วยเพราะแม่ของหมิงนั้นเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปีต่อมา แม่มีน้องให้หมิง คือ สง ในวันที่ 19 ธันวาคม 2520
ปี 2521 พ่อกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยมาพักกับญาติของพ่อแถวบางกะปิ พ่อกับแม่ช่วยกันค้าขายเสื้อผ้าที่ตลาดบางกะปิ เด็กชายหมิงได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล ส่วนเด็กชายสงเข้าเรียนในโรงเรียนศูนย์เด็กเล็ก ในพื้นที่เขตบางกะปิ อยู่ที่เขตบางกะปิได้ปีเดียว พ่อก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่ซอยกิ่งเพชร ถนนเพชรบุรี เขตพญาไท
ปี 2524 พ่อพาครอบครัวย้ายภูมิลำเนาอีกครั้งมาอยู่ที่เขตคลองสาน และเปิดร้านขายของชำที่บ้าน
“พ่ออยากให้แม่กับลูกเป็นเหมือนคนอื่นๆ เขา” แม่ของหมิงเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจของพ่อ ในการใช้บริการของ “นายหน้า” ที่รับจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยให้แม่ และทำสูติบัตร ท.ร.19 ตอนที่ 1 ให้หมิงและสง รวมถึงการแจ้งชื่อเข้าในทะเบียนราษฎรประเภท 14 ในท้องที่แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
ปี 2526 ครอบครัวของหมิงได้ย้ายชื่อเข้าในทะเบียนบ้านแห่งหนึ่งในเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ระหว่างปี 2528-2531 พ่อของหมิงล้มป่วย แม่จึงต้องรับภาระรับผิดชอบครอบครัวแทนพ่อ และด้วยคำชักชวนของเพื่อนพ่อ แม่ของหมิงจึงตัดสินใจกลับไปทำมาค้าขายที่จังหวัดหนองคายอีกครั้ง โดยย้ายชื่อตัวเองเข้าในทะเบียนบ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย แม่ของหมิงเดินทางค้าขายระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ รวมถึงไปฮ่องกงหลายครั้ง ซึ่งนอกจากไปเยี่ยมอาม่าและอาอี๊ของหมิงแล้ว ของมงคลสำหรับชาวจีนอย่างฮก-ลก-ซิ่ว เป็นของที่แม่ซื้อกลับมาเมืองไทยทุกครั้ง เพราะมันเป็นสินค้าที่ขายดี
เมื่อพ่อของหมิงเสียชีวิต (ใบมรณบัตรเลขที่ 258 / 2534 ออกให้โดยสำนักงานเขตสาธร จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2534) แม่ หมิงและสงจึงย้ายไปอยู่กับ ”พี่สาวของหมิง”ซึ่งเป็นลูกสาวของเมียอีกคนหนึ่งของพ่อที่หนองแขม โดยแม่ช่วยพี่สาวของหมิงขายของที่ประตูน้ำ
ปี 2539 หมิงไปติดต่อขอรับทะเบียนบ้านฉบับใหม่ที่เขตคลองสาน แต่ไม่ปรากฎชื่อในฐานข้อมูล เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้หมิงยื่นคำร้องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านต่อสำนักงานเขตคลองสานตามข้อ 97 แห่งระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ.2535 ต่อมาสำนักงานเขตคลองสานได้ทำการตรวจสอบหลักฐานคำร้องดังกล่าว ไปยังสำนักทะเบียนต้นทางที่หมิงย้ายชื่อออกมา แน่นอน-ไม่พบชื่อของหมิง สง รวมถึงแม่ของหมิงในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร
หมิงจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนที่บัตรประชาชนใบแรกจะหมดอายุ หมิงได้งานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง โดยคำแนะนำของทนายความ หมิงตัดสินใจฟ้องผู้อำนวยการเขตคลองสานใน ปี 2545 โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้สำนักงานเขตคลองสานยกเลิกคำสั่งการจำหน่ายชื่อและเพิ่มชื่อกลับเข้าไปในทะเบียนบ้านตามเดิมพร้อมทั้งออกบัตรประจำตัวประชาชนให้กับตัวเองและสง
ใครที่ไม่เจอเข้ากับตัวเอง ก็คงยากจะเข้าใจ--บัตรประจำตัวประชาชนกับทะเบียนบ้านอีกใบ เอกสารที่เคยรู้สึกว่ามันสำคัญ ก็ตอนที่ต้องไปติดต่อราชการหรือสมัครงาน อยู่ๆ ถูกยึดคืนไป สภาวการณ์ของการเป็นคนไม่มีบัตร ไม่มีเอกสารอะไร ทำให้เกิดคำถาม ความกลัว ความหวาดระแวงมากมายตามมา และที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็น กลัวการถูกจับ--ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในทางคดี หมิง สงและแม่ของหมิงยังคงอยู่ในความกลัว ความหวาดกังวล จน ปี 2547 หมิงเจอเว็บไซต์ www.archanwell.org ของอาจารย์แหวว จึงพยายามติดต่ออาจารย์แหววเพื่อขอความช่วยเหลือ
2. การสอบข้อเท็จจริง ผ่านการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
เรายุติ “การทำความรู้จักกัน” ด้วยอาหารเย็น โดยการสนับสนุนจากกองทุนศาสตราจารย์คนึง ฦาไชย และทิ้งรอยเชื่อมของงานขั้นต่อไปด้วยการขอให้หมิงนำเอกสารที่เกี่ยวข้อง “ทุกชิ้น-ที่มี” มาให้
จากการตรวจสอบเอกสาร โดยชล ทำให้เราพบว่า
จากคำร้องขอเพิ่มชื่อของหมิงต่อสำนักงานเขตคลองสานนั้น สำนักงานเขตคลองสานได้ทำบันทึกหารือไปยังสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร (ตามหนังสือบันทึกข้อความเลขที่ กท.9017/4060 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2539)
ขณะเดียวกัน สำนักงานเขตคลองสาน ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานการขอเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านของหมิงและสง ไปยังสำนักทะเบียนต้นทางที่ย้ายออกมา แน่นอน-สำนักงานเขตคลองสานไม่พบชื่อของหมิงและสงในฐานข้อมูลการทะเบียน ตลอดจนการตรวจสอบสูติบัตรของ หมิงและสง ก็ไม่พบต้นขั้วเอกสาร สำนักงานเขตคลองสานจึงได้รายงานผลการตรวจสอบไปยังสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร (ตามหนังสือบันทึกข้อความเลขที่ว กท.9017/ทบ.01 ลงวันที่ 23 มกราคม 2540)
ทางสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร จึงได้มีบันทึกข้อความเลขที่ กท. 0307/30 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 แจ้งกลับสำนักงานเขตคลองสานให้จำหน่ายชื่อของหมิงและสงจากทะเบียนบ้าน ด้วยเหตุ “ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ” ตามพ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 10 และระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 และได้แจ้งให้สำนักเขตคลองสาน ใช้อำนาจตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางฯ ข้อ 107 ในการออกสั่งไม่อนุมัติการขอเพิ่มชื่อฯ หากพิจารณาเห็นว่าพยานเอกสารหรือพยานบุคคลไม่น่าเชื่อถือ หรือผู้ขอเพิ่มชื่อและรายการในทะเบียนบ้านมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต (ตามบันทึกข้อความเลขที่ กท. 0307/159 ลงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2540)
ปี 2543 สำนักงานเขตคลองสานได้ทำหนังสือแจ้งผลการผลการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ถึง หมิงและสง ว่า
· สูติบัตรของหมิงและสงที่นำมาแสดงเป็นเอกสารเท็จ ที่ตรวจสอบแล้วไม่พบต้นขั้วเอกสาร
· พ่อของหมิงเป็นบุคคลต่างด้าว สัญชาติจีน
· แม่ของหมิงเป็นบุคคลไม่ทราบสัญชาติ
ดังนั้น หมิงและสง จึงไม่ได้สัญชาติไทย ตามมาตรา 7 ทวิ และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2535 จึงไม่สามารถดำเนินการเพิ่มชื่อตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางฯ ข้อ 97 ได้
3. ข้อสรุปในเบื้องต้น
หลังจากเย็นวันนั้น เรา-ฉัน ชล และอาจารย์แหวว-ทำงานและแชร์ข้อมูลกันผ่านมือถือ (พร้อมๆ กับการเรียนรู้การทำงานการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่เคส อาจารย์แหววก็เริ่มเรียนรู้การ “กำกับ-ดูแล” ฉันและชล)
เราได้ข้อสรุปเบื้องต้นกันว่า ด้วยความที่แม่ของหมิงเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แม่ของหมิงจึงมีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย และด้วยเหตุที่ย้ายภูมิลำเนาเข้ามาในกรุงเทพฯ แม่ของหมิงจึงไม่ได้รับการจัดทำบัตรประจำตัวลาวอพยพ (ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกองทัพภาคที่ 2 เมื่อปี 2534-2534) สาเหตุที่หมิงและสงไม่มีหลักฐานการเกิดนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวกับ พ่อแม่ที่เป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายทั่วไป คือ ไม่รู้ ไม่เข้าใจกฎหมายว่าเอกสารรับรองการเกิดนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะบุคคลตามกฎหมาย แต่ที่เข้าใจถูกก็คือ การไปแจ้งต่ออำเภอเพื่อขอรับหลักฐานรับรองการเกิดนั้น อาจนำไปสู่การถูกจับส่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถูกพิจารณาคดี รวมถึงอาจถูกส่งตัวออกนอกดินแดนรัฐไทย
อาจต้องสรุปแบบตัดความรู้สึกใดๆ ออกไป ได้ว่า สาเหตุการตกเป็นคนไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของหมิง สง รวมถึงแม่ของหมิงนั้น ก็ด้วยความรักเมียลูก แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพ่อของหมิง การทำเอกสารปลอมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการตกเป็นคนไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลของหมิง สง รวมถึงแม่ของหมิง
...แต่ก็อีกนั่นแหละ ณ เวลาหนึ่ง คนๆ หนึ่ง ก็พยายามทำดีที่สุด-เท่าที่จะทำได้ ใครจะไปรู้ได้ว่าผลที่ตามมามันจะรุนแรงแบบนี้
อาจารย์แหววตั้งประเด็นต่อว่า แล้วครอบครัวของหมิงยังถือว่าเป็นคนลาว มีสัญชาติลาวอยู่หรือเปล่า ... อีกนัยหนึ่งก็คือทำงานกันต่อได้แล้ว—
4. เจ้าของปัญหา ห้ามอยู่เฉยๆ-ต้องช่วยกันทำงาน
เราตกลงกันว่า คนที่ควรหาคำตอบในประเด็นที่อาจารย์แหววตั้งก็คือ ตัวเจ้าของปัญหาเอง
4.1 ยังเป็นคนลาวอยู่ไหม?
หมิงดำเนินการทันทีเช่นกัน หมิงติดต่อไปยังสถานทูตลาว ความคืบหน้าทำให้เราตื่นเต้น แต่เนื้อหาของมัน-ให้ความรู้สึกอื่น
ไม่มีความเห็น