โลกของกายหยาบ และ โลกของกายละเอียด ( 1 )


เมื่อเดือนก่อน  น้องสาวที่สนิทกันมาก และเป็นกำลังสำคัญในสังฆะของเรา ได้ย้ายไปทำงานที่กาญจนบุรี  ในช่วงเวลาก่อนที่เราจะจากกันนั้น เธอได้พูดทีเล่นทีจริงว่า  ข้าพเจ้าน่าจะเขียน blog. เกี่ยวกับเรื่องราวของสัมภเวสีในโรงพยาบาลเราบ้าง  เพราะเดือนที่ผ่านมานั้น พวกเราทั้งหลายมีอาการหลอน.. กันอย่างถ้วนทั่ว  เนื่องจากได้พบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับ สัมภเวสีในโรงพยาบาล  เราทั้งหลายต่างต้องรีบไปทำบุญทำทาน ให้กับสัมภเวสีที่ว่าเป็นการใหญ่   แถมเรื่องราวนี้ก็เกิดต่อเนื่องยาวนานมาหลายสิบปี   แต่สัมภเวสีผู้นี้ก็ยังไม่ได้ไปไหน  ยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลของเรา  ไม่ได้ไปเกิดใหม่เสียที  จิตของเธอผู้นี้ตกอยู่ในภพภูมิกลางและรอไปเกิดอยู่ (หรืออาจจะเรียกว่าอยู่ในโลกบาร์โด ในภาษาของพุทธวัชรยาน )    ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า  การเขียนเรื่องพวกนี้ อาจทำให้ผู้ที่มาอ่าน และไม่เชื่อเรื่อง 31 ภพภูมิ  ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า เข้าใจผิดได้ว่า พวกเราทั้งหลายปฎิบัติธรรมจนเพี้ยน    แถมเรื่องนี้ ไม่สามารถพูดคุยกันในวงกว้างได้  ทั้งนี้เพราะเรากำลังอยู่ในหมู่คนที่เชื่อมั่นในโลกของวิทยาศาสตร์    การจะมาพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้และเกินกำลังที่ตาเนื้อจะมองเห็น ให้หมู่นักวิทยาศาสตร์แและเป็นผู้ที่มีปัญญาสูงทั้งหลายรับฟัง แถมจะให้เขาเชื่อและเข้าใจ   ย่อมเป็นไปได้ยากมาก  ..

มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักวิทยาศาสตร์ หรือผู้มีปัญญาในบ้านเราบางส่วน กลับเชื่อเรื่องที่หมอดูทำนายทายทัก เชื่อเรื่องของฮวงจุ้ย  เชื่อเรื่องของการสะเดาะเคราะห์  แต่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า  แต่พอถามว่า เชื่อเรื่องผีหรือเปล่า หลายคนบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่  และมีอาการกลัวผีกันไปตามๆกัน  พอถามว่าผีมาจากไหน เขาก็ว่า  มาจากคนที่ตายไปแล้วไง  ตายแล้วไปเป็นผี แต่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ??  

ข้าพเจ้าเข้าใจว่า  คนส่วนใหญ่ที่เกิดในดินแดนเถรวาท  ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า  ตามตำราอภิธรรมของเถรวาทแล้ว  เมื่อคนเราตายไปนั้น จิตผู้ตายจะแปรเปลี่ยนเป็น จุติจิต แล้วกลายเป็น ปฎิสนธิจิต ไปรวมกับเซลต้นกำเนิด (ที่ครึ่งหนึ่งมาจากพ่ออีกครึ่งหนึ่งมาจากแม่) ในครรภ์มารดาทันที  ไม่มีเวลามาคั่น  ดังนั้นเมื่อตายปุ๊บ ก็เกิดปั๊บทันที  ไม่มีเรื่องของสถานที่ ระยะทาง ระยะเวลามาเป็นอุปสรรค  ทั้งนี้เพราะความเร็วของจิตนั้นเร็วมาก ประมาณว่าแค่หนึ่งลัดนิ้วมือ จิตก็เกิดดับไปหลายล้านๆๆๆๆ ดวงแล้ว  ดังนั้นในทางอภิธรรมของเถรวาท ผีจึงไม่มีจริง ??

แต่เราทั้งหลายก็มักจะได้ยินเรื่องเล่ากันอยู่บ่อยๆ ในทำนองว่า   มีคนที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด  แต่ญาติของเขากลับเห็นเขากลับมาที่บ้านในวันที่เขาเสียชีวิต   บางคนถึงกับได้พูดคุยกับผู้ตายด้วย   มาภายหลัง ถึงได้รู้ว่า คนผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ   และส่วนใหญ่จะพบเจอคนตายในเครื่องแต่งกายชุดเดิมๆ  ชุดที่เขาใส่ขณะที่ตายนั่นเอง  

 เรื่องราวเหล่านี้ ดูจะขัดแย้งกันในทีเมื่อกล่าวในทางอภิธรรม   อย่างไรก็ดีกลับมีข้ออธิบายถึง เหตุและผลว่า  ทำไมบางคนถึงตายปุ๊บ เกิดใหม่ปั๊บ  แต่บางคนไปไหนไม่ได้  ตกไปอยู่ในภพภูมิกลาง  และถูกเรียกว่า  สัมภเวสี  แต่กระนั้นในทางอภิธรรม ท่านผู้รู้กล่าวว่า เราทั้งหลายก็คือ สัมภเวสี  คือผู้ที่รอไปเกิดใหม่ด้วยกันทังหมดทั้งสิ้น  เพราะเราทั้งหลายยังต้องเวียนวนอยู่ใน 31 ภพภูมิ ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหลุดออกไปจากวัฎสังสาร  จึงจะไม่ต้องมาเกิดใหม่ใน 31 ภพภูมิอีก    และการจะหลุดออกไปได้ ก็ด้วยการปฎิบัติสมาธิภาวนา ..

 คำว่า สัมภเวสี  อีก ส่วนหนึ่งนั้น ยังหมายถึง สภาวะของคนที่ตายแล้วจิตออกจากร่าง แต่ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ใน 31 ภพภูมิได้  เนื่องด้วยเหตุและปัจจัยบางอย่าง  เขาต้องรอเวลา  แถมเวียนวนหลงอยู่ในภพภูมิกลางนี้ไปอีกระยะหนึ่ง  จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนภพภูมิจริงๆ    เป็นที่น่าแปลกใจว่า  ในโลกของพุทธวัชรยานนั้น มีการอธิบายสภาวะของสัมภเวสี  อยู่ในคัมภีร์มรณะศาสตร์ของธิเบต ว่าคือโลกของบาร์โด และบอกเล่าสภาวะอาการของผู้ที่อยู่ในโลกของบาร์โด ได้ค่อนข้างละเอียดทีเดียว

การกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ มักจะก่อให้เกิดความสงสัย และซักถามกันมากมาย  และกลายเป็นประเด็นที่พูดคุยกันได้ยาวยืด  โดยเฉพาะถ้าไปพูดคุยกับหมู่ผู้ที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กายภาพที่ไม่ได้สนใจในการปฎิบัติสมาธิภาวนา  พวกเขาเหล่านี้มักจะต้องการวัตถุพยานทางกายภาพมาพิสูจน์ถึงเรื่องที่ว่า  ซึ่งก็คงจะไม่มีใครสามารถหาวัตถุพยานและภาพถ่ายจากโลกสัมภเวสีมาชี้แจงยืนยันได้  และถึงจะมีก็อาจถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์     แถมการพูดถึงสิ่งเหล่านี้ กับพวกเขาทั้งหลาย อาจจะไม่ก่อให้เกิดปัญญาใดๆ  ทั้งสิ้น ในวงสนทนา และอาจตามมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งแทน 

 การมีหรือไม่มีสัมภเวสี ก็ไม่ได้ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปทางไหน   แต่ในผู้บรรลุธรรมระดับสูงบางท่าน  การมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในสมาธิภาวนา ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ส่วนตนว่า การตายและการเกิดใหม่ซ้ำๆ ซากๆ  ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ายินดีสักเท่าไหร่  และจะมองเห็นผลแห่งเวรกรรมต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้นว่ามันเป็นมาอย่างไร   ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่ จึงไม่ประสงค์ที่จะเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากใน 31 ภพภูมิอีกต่อไป .. 

ข้าพเจ้าเคยสนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกันหลายคน   เราต่างเห็นตรงกันว่า เรื่องบางเรื่อง ไม่ควรพูด  เราพูดได้เฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น    ข้าพเจ้าเห็นด้วยจริงๆ กับ ครูตั้ม- วิจักขณ์  พานิช ที่เคยพูดไว้ว่า เมื่อเราภาวนาไปได้สักระยะหนึ่ง เราจะพบว่า โลกของคนบ้า กับคนไม่บ้าใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ   ฟังดูแล้วน่าตกใจไม่น้อย   แต่เราผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนาไม่ได้ตกใจอะไร   ทว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง และมีอคติกับการปฎิบัิติธรรม คงจะตกใจมากกว่าที่ได้ยินดังนั้น   แถมอาจจะกลัวการมาปฎิบัติสมาธิภาวนามากขึ้น   เพราะกลัวว่าตัวเองจะบ้าหรือเพี้ยนได้ถ้ามาปฎิบัติ  และอาจจะทำให้พวกเขาหนีห่างไกลพุทธศาสนากันมากขึ้นไปอีก

มาถึงตรงนี้  ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่กล่าวไว้ว่า   เรื่องทุกเรื่องที่ปุถุชนคนธรรมดาสงสัยและมองเห็นว่าเป็นเรื่องลี้ลับนั้น    สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรลี้ ไม่มีอะไรลับ  ทุกสิ่งสามารถอธิบายได้ทั้งนั้น .. และข้าพเจ้าก็เห็นจริงตามที่ท่านว่า  เพราะในช่วงหลังๆ ข้าพเจ้าพบเจอเรื่องราวหลายอย่างที่เป็นเรื่องนอกเหตุ เหนือผล   และได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ของข้าพเจ้าไปไม่น้อย 

โลกของกายภาพ โลกของกายหยาบนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้แบบหลงๆ มาตลอดชีวิต  เราต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมใหม่ว่า ในกายหยาบที่เรามองเห็นและจับต้องได้นั้น ที่แท้มันเป็นเพียงการก่อเกิดขึ้นชั่วคราว จากการรวมตัวของ  ดิน  น้ำ ลม  ไฟ และอากาศธาตุ   ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน และไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้    สุดท้ายผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา ต้องเข้าสู่วิถีของการเรียนรู้ในโลกของนามธรรม โลกของจิต ที่ไม่อาจจับต้องมองเห็นได้  แต่จะรู้จักและสัมผัสได้ ก็ด้วยการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนาเท่านั้น  และมีสิ่งหนึ่งที่ผู้ปฎิบัติจะได้เรียนรู้ก็คือ  โลกของกายละเอียด  ..

คำสำคัญ (Tags): #กายหยาบ
หมายเลขบันทึก: 274856เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2009 23:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

และแล้วพี่ยาก็เขียนบอกเล่า เรื่องที่นอกเหตุเหตุ เหนือผลแบบมีเหตุมีผลได้น่าอ่านมากเลยค่ะ

คิดถึงรพ.ศว. มากๆๆๆๆๆ

วี

น้องวี

คิดถึงเช่นกันจ้า  หลายคนที่นี่ถามถึงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ส่งข่าวบอกเล่ามาบ้างเด้อ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท