กณีศึกษา SMEs “ลิขิตฟ้าหรือต้องฝ่าฟัน”
ถ้าเราจะกล่าวถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จ หลายคนอาจจะกล่าวว่าเพราะ “ สวรรค์ลิขิต” , บางคนอาจจะกล่าวว่า “สร้างมากับมือ” แล้วท่านผู้อ่านคิดว่าอย่างไร (ลองตอบในใจดู) ผู้เขียนขอยกเรื่องเพลงของคุณเจิน เจิน ที่ว่า “ สามสิบลิขิตฟ้า เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ” มาเป็นข้อคิด สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทุกท่าน เรื่องจริง ๆ แล้วนั้นเราสามารถกำหนด หรือมีส่วนในการที่จะกำหนดอนาคต ความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของตัวเราเองได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเรา ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ทุ่มเทในการทำงาน การเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา การหาตัวช่วยซึ่งทางเรา “ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” หรือ สสว. พร้อมและยินดีให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือ ติดต่อได้ที่ 0-2278-8800 ต่อ 400
หลาย ๆ เรื่องเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ และถ้าเราจะกล่าวว่าฟ้ากำหนดก็น่าจะไม่ผิด , หรือแล้วแต่เวร แต่กรรมของคน , หรือแล้วแต่บุญวาสนาเช่น การเลือกเกิด เราไม่สามารถเลือกเกิดเองได้ว่า จะเกิดที่ไหน , ครอบครัวจะรวยหรือจน , เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นต้น ถ้าจะเปรียบเทียบกับเพลงก็อาจจะเป็น “ สามสิบลิขิตฟ้า” แต่หลังจากที่เราเติบโตจนมีความคิด เราจะเลือกขยันเรียนหรือขี้เกียจ , เราจะเลือกตั้งใจทำงานหรือเช้าชามเย็นชาม , เราจะเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือเราจะปิดหูปิดตาตัวเอง , เราจะเลือกทำสิ่งที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย , เราจะเลือกต่อสู้อุปสรรคหรือคิดสั้น เหล่านี้ล้วนคือ “ เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ” จะขอยกตัวอย่างผู้ประกอบการที่พยายามต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ นานา มาให้ดูดังนี้
กรณีศึกษาผู้ประกอบการในประเทศลาว
ผู้เขียนพึ่งจะกลับมาจากประเทศลาวได้เห็นถึงความแตกต่างของผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจในประเทศลาว ในปัจจุบันนี้เมืองหลวงเวียงจันทน์มีคนต่างชาติเข้าไปลงทุนอย่างมากมายเช่น คนไทย , คนจีน , คนเวียตนาม , คนเกาหลีและฝรั่งหลาย ๆ ชาติ เป็นต้น และก็เริ่มจะมีการแบ่งเขตของการทำการค้าเป็นย่าน ๆ เช่น ย่านของคนจีน ถ้าเราเข้าไปในย่านนี้ตอนกลางคืนประมาณสามทุ่ม ท่านจะสังเกตเห็นความแตกต่างได้ทันทีว่า ยังมีการเปิดร้านค้าขายเหมือนตอนกลางวัน ถึงแม้ว่าในเวียงจันทร์ร้านค้าขายส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว ( ยกเว้นร้านอาหาร ) ไม่ว่าจะเป็นขายของเบ็ดเตล็ด , ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ , ร้ายขายเครื่องยนต์คล้าย ๆ เซียนกงบ้านเรา และร้านขายของต่าง ๆ มากมายของย่านคนจีนยังคงเปิดอยู่ บางร้านเปิดยันสว่าง เขาทำอย่างนั้นทำไม? เราสอบถามมาได้ว่าการค้าในประเทศลาวมีโอกาสยังไม่มากนักจึงต้องการเปิดรับทุก ๆ โอกาสที่จะเข้ามาในทุก ๆ เวลา เพื่อให้ความสะดวกของโอกาสให้มากที่สุด และแน่นอนเขาเหล่านั้นย่อมจะต้องขายดีมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะเขารอและเปิดโอกาสให้ตัวเองคอยต้อนรับลูกค้าทุก ๆ คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของ “ เจ็ดสิบต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ”
กรณีศึกษา ผู้ประกอบการร้านอาหารในอเมริกา
ในประจุบันถ้าเราเดินทางไปอเมริกาและมีโอกาสอยู่ในช่วงวันอาทิตย์ในเมืองไม่ใหญ่มากนัก และลองออกไปหาอาหารทานเองนอกที่พัก จะพบว่ามีแต่ร้านอาหารคนจีน , ร้านอาหารคนอินเดีย และร้านอาหารคนไทยเท่านั้น เพราะร้านอาหารของคนฝรั่งปิดหมดเพราะเป็นวันหยุด และร้านอาหารที่เปิดก็ขายดีมาก ๆ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่ต่อสู้เพื่อกำหนดความสำเร็จของตัวเอง เพื่อกำหนดอนาคตของตัวเองและสามารถกำหนดได้ถ้าเราเลือกทำงานให้มากกว่าคนอื่น ถ้าเราเลือกขยันอดทนมากกว่าคนอื่น เราจะเป็นผู้ชนะได้ด้วยตัวเรากำหนด
กรณีศึกษา ร้านขายเสื้อผ้าสามสาขา (สยามสแคว,พารากอนและเกศร)
มีผู้ประกอบการมาปรึกษาหาทางแก้ปัญหาว่า “ขายไม่ดีจะทำอย่างไรดี” เราก็เริ่มต้นค้นหาข้อมูลจากผู้ประกอบการเช่น การลดค่าใช้จ่าย , การจัดการส่งเสริมการขาย , การจัดการในด้านการผลิตให้มีการลดต้นทุน และมองหาทางแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ แต่ก็ไม่พบจุดอ่อน และค้นพบว่าผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีการบริหารงานที่มีความสามัคคี รักใคร่กันดีมาก ยอมรับซึ่งกันและกัน มีผู้นำที่เสียสละ,มีความสามารถและได้รับการยอมรับสูง เมื่อที่ปรึกษาพยายามวิเคราะห์ดูก็ทราบว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาทางแก้ไขเนื่องจากว่าสภาวะทางเศรษฐกิจมีผลต่อการขายเสื้อผ้าราคาสูง มีการออกแบบที่โดดเด่น แปลกและไม่เหมือนใคร และลูกค้าที่เคยมาซื้อก็ลดลงมากไม่มีคนมาเดิน ทำให้ยากที่จะแก้ไข ที่ปรึกษาจึงเสนอแนวความคิดที่จะยกสินค้าไปหาลูกค้าในบริเวณที่ทำงานของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเราวางแผนที่จะทำในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีเป็นแผนการแก้ไขชั่วคราว โดยเราจะไม่ลงทุนเปิดสาขาใหม่ การนำสินค้าไปหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมายถึงที่ทำงานก็ได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการว่าสามารถนำไปทำได้จริง ใช้จ่ายต่ำ น่าลองทำดีกว่านั่งรอแบบไม่มีอนาคต ที่ปรึกษาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาเหล่านั้นน่าจะสามารถต่อสู้และแก้ปัญหาได้ และคาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเร็ว ๆ นี้ “ต้องสู้ จึงจะชนะ”
กรณีศึกษา ร้านขายสีรถยนต์ มีสองสาขา
เธอเป็นวัยรุ่นอายุประมาณสิบเก้าถึงยี่สิบปี กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เข้ามารับการปรึกษาได้ 4 ครั้งและครั้งหลังสุดก็น่าจะได้แนวทางแก้ไขที่น่าจะเป็นไปได้จริง ๆ จุดเริ่มต้นคือ คุณพ่อทำงานต่อไปไม่ไหวเนื่องจากปัญหารุมเร้าอย่างมากมาย มีร้านขายสีรถยนต์สองแห่งย่านสำโรง มีปัญหาขาดสภาพคล่องเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ , ลูกค้าไม่จ่ายเงิน , เจ้าหนี้ตามเก็บเงิน , ลูกน้องลาออกไปเปิดร้านแข่งขันในทำเลใกล้ ๆ กัน , ธนาคารเร่งรัดเงินตลอดเวลาและไม่ดูแลเท่าที่ควรเช่นลูกค้ามีถึงแถวมูลค่า 5 ล้านบาทปลอดหนี้ต้องการนำมาค้ำประกันวงเงินเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาแต่ทางธนาคารก็ไม่ยินยอมอย่างเดียวเลย เราจึงต้องแนะนำให้ขายตึกแถว 5 ล้านบาทไปก่อนเพราะสามารถแก้ปัญหาได้ทันทีเนื่องจากปัญหาเพียง 2 ล้านบาทเท่านั้น วันหลังค้าขายดีแล้วกลับมาซื้อใหม่ก็ได้ สำหรับสาขานี้ขายดีก็ไม่ต้องเลิกเพียงแต่หาทำเลใกล้เคียงเช่าทำกิจการต่อไปและต้องแจ้งลูกค้าให้ทราบทั่วถึงก่อนย้าย เธอก็ได้นำไปปรึกษาคุณพ่อก็ได้รับการเห็นชอบ และคาดว่าจะสามารถแก้ไขในเร็ว ๆ นี้ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เด็กผู้หญิงกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยเพียงแค่ปีหนึ่ง ก็ต้องหยุดเรียนมาช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อครอบครัว น้อง ๆ จะต้องใช้จ่ายเรียนหนังสือ และดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยดี และนี่ก็คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ต้องพยายามต่อสู้เพื่อกำหนดอนาคตของตน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะช่วยคุณพ่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยดีและขอเป็นกำลังใจให้เธอด้วยคนนะครับ
จากตัวอย่างต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วขอเป็นกำลังใจให้นักสู้ทั้งหลายสามารถฟันฝ่าปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ด้วยความพยายาม ความอดทนและความอุสสาหะนะครับ
ธนพล ก่อฐานะ
ที่ปรึกษา SMEs ด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
ฝ่ายประสานและบริการ SMEs
บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้นเราต้องเป็นผู้สร้างเอง ไม่ใช่รอส้มหล่นหรือปาฏิหาร
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต้องการกำลังใจ
แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ เราต้องฝ่าฟันด้วยตัวเราเองด้วยนะครับ
ดร.ธนพล ก่อฐานะ