มุมมืดของงาน Open House ในโรงเรียน
ผู้เขียนได้อ่านบทความของผู้ที่ใช้นามปากกาว่า “ครูเฒ่า ชาวเหนือ” ซึ่งลงพิมพ์ในวารสารดอกไม้วัยเยาว์ เมื่อเดือนเมษายน โดยท่านได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงาน Open House ในโรงเรียนไว้อย่างน่าสนใจโดยสรุปได้ดังนี้
Open House แปลว่า เปิดบ้าน จุดมุ่งหมายในการเปิดบ้าน ก็เพื่อให้คนภายนอกได้เข้าไปเยี่ยมเยือน เข้าไปดู ไปเรียนรู้ ไปชื่นชม ในความมีระเบียบของการจัดบ้าน รวมถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต่าง ๆ นอกจากนั้นยังได้เข้าไปสนทนาแลกเปลี่ยนเทคนิควิธีการเลี้ยงดูลูก ๆ ให้เป็นคนน่ารัก มีระเบียบวินัย มีคุณธรรม และเป็นคนดีของสังคม หรือที่เรียกกันว่า “คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของคน” เพื่อนำไปเป็นแบบอย่าง หรือเป็นความรู้ไว้ประดับสติปัญญาของตน ซึ่งความหมายของการ “เปิดบ้าน” ขึ้นในโรงเรียน ก็มีความหมายคล้ายคลึงกันนี้
ประเพณีการเปิดบ้านขึ้นในโรงเรียน มีมาพร้อม ๆ กับการปฏิรูปการศึกษา เพราะกระแสสังคม คิดว่าคนไทยด้อยคุณภาพ คิดวิเคราะห์อย่างมีระบบไม่เป็น ขาดระเบียบวินัยในการทำงาน ขาดความกระตือรือร้น ขาดความรับผิดชอบ และขาดคุณภาพด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ผลสุดท้ายก็สรุปว่าการศึกษาของไทยยังล้าหลัง ผลผลิตจึงออกมาเป็นคนแบบนี้ ซึ่งวิธีการแก้ไขก็คือ โรงเรียนทุกโรงเรียนและครูทุกคนต้องมีการประกันคุณภาพการศึกษาให้เห็นชัดเจน ทั้งยังมีวิธีการตรวจสอบการทำงานสารพัดรูปแบบ เพื่อพิสูจน์ว่า “ครูสอนนักเรียนให้มีคุณภาพจริงหรือไม่” ซึ่ง Open House ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการตรวจสอบนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้แต่ละโรงเรียนจึงต้องหาวิธีการพัฒนาทุกรูปแบบเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น กำหนดแผนงาน หรือสร้างธรรมนูญโรงเรียนขึ้นมา เพื่อใช้เป็นกฎเกณฑ์ในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพ สามารถแสดงให้ดูได้ด้วยเอกสาร ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว ชิ้นงาน หรือมีแฟ้มหลักฐานต่าง ๆ ให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็นำมาแสดงในวัน Open House
ส่วนครูผู้สอนก็ต้องปรับตัวเข้าสู่แนวการปฏิรูปความคิดและพฤติกรรมตามแนวใหม่ คือต้องคิดวิเคราะห์สภาพการณ์ และองค์ประกอบต่าง ๆ ในโรงเรียน เพื่อนำมาประกอบกัน แล้วสร้างให้เกิดเป็นผลผลิตที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ได้ประกันฯนั้น เมื่อเข้าใจแล้วจึงสร้างหลักสูตร สร้างหน่วยการเรียนรู้ ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ และเอกสารประกอบในแต่ละขั้นตอนของการเรียนรู้ที่เรียกว่าสื่อการเรียนรู้ รวมทั้งคิดวิธีวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง โดยเน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติจริง จึงจะสามารถคิดค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง เรียกว่า “เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” การทำงานทุกขั้นตอนควรมีหลักฐานพยานแวดล้อมชัดเจน ตรวจสอบได้ เช่น แฟ้มสะสมผลงานของผู้เรียน แล้วนำมาจัดแสดงเป็นหมวดหมู่ หรือจัดในรูปของนิทรรศการสรุปงาน เพื่อให้แขกที่เข้ามาชมบ้านในโรงเรียนได้เข้าใจง่ายขึ้น ภายในเวลาอันรวดเร็วในวันเปิดบ้าน
“ครูเฒ่า ชาวเหนือ” ได้แสดงความคิดเห็นว่า กว่าจะได้งานออกมาแต่ละชิ้นครูต้องทุ่มเท เสียสละ และใช้ความเพียรพยายามอย่างมาก เพราะฉะนั้นในงานเปิดบ้านของโรงเรียน ควรจะมีแต่บรรยากาศทางวิชาการท่านั้น ไม่ควรมีมหรสพใด ๆ มาแสดง เพราะแขกที่มาร่วมงานจะมัวชมมหรสพเพลินจนลืมเข้าไปชมของดีในบ้าน ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นมุมมืดของงาน Open House ในโรงเรียน
จากบทความเรื่อง มุมมืดของงาน Open House ในโรงเรียน ผู้เขียนเห็นด้วยกับความคิดของครูเฒ่า ชาวเหนือ ที่บอกว่า ครูผู้สอนต้องปรับตัวเข้าสู่แนวการปฏิรูปความคิดและพฤติกรรมตามแนวใหม่ เพราะการทำงานในปัจจุบันต้องมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา สะดวกสำหรับผู้ประเมิน และยุติธรรมสำหรับผู้ที่ได้รับการประเมิน แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการเปิดบ้านในโรงเรียนไม่ควรมีมหรสพใด ๆ มาแสดง เพราะมหรสพ คือ สีสันของงาน เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจที่ดี โดยเฉพาะมหรสพที่เกิดจากความสามารถทางการแสดงของเด็กนักเรียนในโรงเรียน เช่น การแสดงดนตรี นาฏศิลป์ การแสดงละครที่แฝงคุณธรรม แต่โรงเรียนควรจัดแบ่งเวลาให้เหมาะสม เพื่อคืนกำไรให้กับผู้มาชมงาน ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้พวกเขาได้ทั้งความรู้เชิงวิชาการจากการจัดนิทรรศการของกลุ่มสาระต่าง ๆ และได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการแสดงความสามารถของนักเรียนในรูปของมหรสพอีกด้วย
นอกจากงดมหรสพแล้ว งานวิชาการต่าง ๆ ที่จัดควรงดสินค้าต่าง ๆ ที่มาขายด้วยนะค่ะเพราะครูไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะครูหญิง) จะช็อปจนลืมว่ามาดูงานวิชาการ ที่รู้เพราะเคยเป็นค่ะ
ความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ ถ้าเขาตั้งใจมาดูงานวิชาการเขาจะมุ่งไปที่เต็นท์วิชาการแต่ละเต็นท์ทันที แต่ถ้ามาเพราะภารกิจต้องมาส่งลูก ๆ แสดง หรือมาเพราะอยากดูสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ เขาก็อาจจะเห็นว่าความรู้ทางวิชาการเป็นผลพลอยได้ ก็ยังดีกว่าไม่มาเสียเลย ไม่ใช่หรือคะ