ในวันที่ไม่มีฝนท้องฟ้าแจ่มใส ฉันมักจะเดินผ่านตึกเด็ก ซึ่งเป็นทางเดินที่ไม่มีหลังคา แต่สามารถตัดลัดไปยังที่ทำงานของฉันได้ เด็กหลายคนออกมาวิ่งเล่นหน้าตาแจ่มใสเมื่อได้อยู่มาอยู่ข้างนอกบ้าง มือข้างซ้ายของน้องยังมีเข็มน้ำเกลือติดอยู่ คงเอาไว้เพื่อฉีดยาแต่ไม่ต้องรับน้ำเกลืออีกแล้ว
น้องตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งมาดึงชายกระโปรงของฉันแล้วหัวเราะ นึกไม่ออกว่าตัวฉัน...นี้...มีอะไรน่าขบขำสำหรับเจ้าตัวเล็ก...น้อ.....
"เดี๋ยว...คุณหมอ..ฉีดยา" แม่เด็กส่งเสียงมายังเด็กน้อย
เอาอีกแล้ว.....สร้างความจดจำในสิ่งที่ไม่ดีให้เด็กกลัวหมอ กลัวเข็มฉีดยาอีกแล้ว.....
เด็กน้อยยังคงดึงฉันเข้าไปข้างในตึก "แหม....เราคงหน้าตาดีไม่เบา เด็กจึงไม่กลัว...อิอิอิ" ฉันอมยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความน่ารักของฉัน....น่าน...ฉันไม่ยอมละความชื่นชมในตัวเอง
"เราจะไปไหนกัน ตัวเล็ก" ฉันหยอกเหย้าเด็ก.........เด็ก หัวเราะ ฮึฮึฮึ......ฉันกับแม่ๆๆหลายคนยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน
"โห....มีอู่(เปล)แบบนี้ให้ลูกนอนด้วย เอามาได้ไง....เนี่ย..." ฉันอุทานกับแม่ของเด็ก
เตียงนอนคนไข้เด็กหลายคน มีผ้าผูกระหว่างปลายเตียงกับหัวเตียง เพื่อทำเป็นเปลให้ลูกนอน ฉันเห็นอู่ผ้าขาวม้าแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ แม่เคยบอกว่า "ฉันก็นอนเปลแบบนี้ หัวเลยสวย"
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คนในเมืองเริ่มหันไปใช้เปลสมัยใหม่ที่มีขายตามห้างชื่อดัง เปลผ้าขาวม้าเลยถูกมองข้ามไป
ฉันจำไม่ได้ว่า ฉันเคยอ่านบทวิจัยจากที่ไหน บอกว่า "เปลนอนแบบนี้ เด็กจะรู้สึกปลอดภัยและหลับสบาย"
ฉันมีโอกาสได้เจอคุณหมอเด็กแต่อาวุโสกำลังตรวจคนไข้ด้วย "มีเปลแบบนี้มาอยู่ในตึกคนไข้ด้วย" ฉันเปรยขึ้น
"ได้ๆๆ....ให้เอามาได้ แต่อย่ากระชากเวลาไกว ต้องให้เปลกลับมาเอง ไม่อย่างนั้น หัวจะได้รับความกระทบกระเทือน" คุณหมอบอกฉันพร้อมกับบอกแม่ๆของเด็กไปด้วย
ฉันถามคุณหมอว่า "เขาบอกว่า เปลแบบนี้ ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยจริงหรือเปล่า" คุณหมอบอกว่า "เด็กจะรู้สึกอบอุ่นเหมือนแม่กอด" ฉันขออนุญาตถ่ายรูปเพื่อเก็บเป็นผลงานคุณภาพ ในเรื่องการนำภูมิปัญญาของชาวบ้านมาร่วมในการดูแลคนไข้ คุณหมออนุญาต พร้อมกับ บอกว่า "ที่ตึกพิเศษ ก็เอาเปลแบบนี้มาด้วย มีขาตั้งทำเอง เป็นเด็กแฝดน่ารักมาก"
แม่ๆยายๆของเด็กก็บอกว่า "เปลแบบนี้ทำให้เด็กหลับสบายไม่ร้องกวน ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยก่อนพาทำ พอมาอยู่โรงพยาบาล เด็กร้องมาก เลยชวนกันทำให้ลูกนอน คุณหมอก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับแนะนำว่าดีเสียด้วย"
ฉันไม่ลืมที่จะย้ำกับแม่ของเด็กเรื่องไกวเปลว่า "ไม่ให้ดึงเปลกลับมาในขณะที่ขึ้นสูงให้ปล่อยลงมาเอง"
ช่วงสายฉันเดินไปที่ตึกพิเศษ ขอเยี่ยมเด็กแฝดนอนเปล ที่ป่วยมาพร้อมกัน ฉันได้รับคำบอกเล่าจากป้า ตาและยาย ร่วมถึงแม่ของเด็กว่า "คนพี่ดีขึ้นแล้ว แต่กลับซึม ส่วนคนน้องยังต้องให้น้ำเกลือแต่กลับสดชื่นกว่า"
ฉันขออนุญาตถ่ายรูปเอาไว้ เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการต่อยอดการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากเป็นการนำภูมิปัญญาชาวบ้านมาร่วมในการดูแลแล้ว ยังเป็นการคำนึงถึงจิตวิญญานของผู้รับบริการในการนำเอาอุปกรณ์ที่ใช้กันมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณมาใช้ในโรงพยาบาล สร้างบรรยากาศให้เหมือนบ้าน คนไข้พอใจ แถมยังเป็นความภาคภูมิใจของคุณตาที่ตั้งใจทำให้หลานนอน ยินดีที่พ่อและแม่ของเด็กซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ทันสมัย ไม่เลือกใช้เปลฝรั่งแม้จะสวยงามแต่ราคาแพง และเด็กก็ไม่ได้ชอบที่จะนอนแบบนั้น
ฉันเองก็รู้สึกภาคภูมิใจกับภูมิปัญญาชาวบ้านของฉัน ฉันคิดถึงแม่ แม่บอกว่า"ฉันก็นอนเปลแบบนี้ หัวฉันเลยสวย" ฉันยิ้มให้ญาติๆคนไข้ก่อนกล่าวคำอำลาและนึกในใจว่า "นี่ไง....การดูแลแบบองค์รวมที่เรามักจะพูดถึงกันเสมอ แต่ไม่สามารถกำหนดออกมาเป็นรูปธรรม...อย่าง....นวตกรรม....นี้ได้"
ฉันรู้สึกชื่นชมคุณหมอเด็ก ที่เป็นคุณหมอใจดี และเปิดโอกาสให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลคนไข้ ฉันขอขอบคุณ คุณหมอ แทนคนไข้และตัวฉันเอง "ฉัน..โชคดีที่ได้ร่วมงานกับคุณหมอ เพราะคุณหมอมองและเห็นเราเป็นเพื่อนร่วมงานมากกว่าลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา.......ฉันสัมผัสได้......"
ขอบคุณมากมาย
"ฉันเอง"
บันทึกในวันที่ มีความภาคภูมิใจ
บรรยากาศตึกกุมารเวชกรรม
ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษ(VIP)
โอ้โห...สุดยอดเลยค่ะ ป้าแดง
คนสวย เด็กๆชอบค่ะ อิอิ
เปล ทำให้เด็กหลับสบายไม่ร้องกวนต่อมา คนไม่นิยม บอกว่า หัวลูกจะแบนค่ะ