แสงเทียนในความมืด


ตราบใดที่ฟ้ายังมีตะวันถ้าลุงไม่ท้อแท้สิ้นหวังลุงก็สามารถที่จะเดินได้อยู่แล้ว

 

 

คุณจะพบกับความสงบสุขได้ไหมในโลกที่ยุ่งยาก ? คุณมีชีวิตที่สงบสุขได้ไหม สำหรับหลายคนแล้วคำตอบที่ชัดเจนคือไม่หนึ่งในนั้นมีครอบครัวของลุงอูเมาซุย  ลุงอาศัยอยู่ในเขตที่มีสงครามไม่สงบทางการเมือง  ความรุนแรงระหว่างชาติเผ่าพันธุ์ หรือการก่อการร้ายในบ้านเกิดของลุงที่ประเทศพม่า

เมื่อปี 2543 ลุงกับครอบครัวได้เข้ามาในประเทศไทย เพื่อจะได้รับความสงบทางใจ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าลุงนั้นจะพบความสงบสุขบ้าง แต่ในไม่ช้าสิ่งที่ได้รับนั้นเป็นเพียงความสงบใจแบบผิวเผินและไม่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 29 /11/52 เป็นอาทิตย์ที่ 2 ของเราที่ลงทำงานในจังหวัดระนอง ฉันกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เราได้ไปอยู่ประจำที่หน่วยชุมชนด่านซอย 9 ซึ่งเดือนนี้เป็นเดือนที่เราออกเยี่ยมบ้านทุกวัน เราได้แนะนำโครงการของเราและหน่วยปฐมพยาบาลของเรา มีอยู่วันหนึ่งเราได้ออกเยี่ยมบ้านตามปกติเราได้เข้าไปในซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ หลายซอย เรามองไปรอบ ๆ เราเห็นชุมชนส่วนใหญ่อยู่กันแบบไม่ถูกหลักอนามัย ชุมชนที่นี่ส่วนใหญ่เขาอยู่ห้องเช่าและอยู่รวมกันห้องละหลายครอบครัว แต่ละห้องไม่ค่อยดูแลรักษาความสะอาดเท่าไร เราได้เข้าไปเยี่ยมชุมชนนี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดเราก็ได้เข้าไปในชุมชนแห่งหนึ่ง และได้เข้าไปที่บ้านเลขที่ 80/100 ซอย 2 ม. 4 ต. บางริ้น อ.เมือง จ. ระนอง เราได้เจอกับคนไข้คนหนึ่งชื่อ นายอูเมาซุย อายุ 64 ปี เป็นอัมพาตซีกขวา เราได้แนะนำตัวเองว่าเรามาจากหน่วยปฐมพยาบาลคามิลเลียน และได้สอบถามประวัติของลุง เราถึงได้รู้ว่าลุงเป็นความดันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วส่วนอัมพาตเป็นมา 7 ปี ไม่ได้รักษาเพราะไม่มีเงิน ลุงอาศัยห้องเช่าอยู่กับภรรยาอายุ 58 ปี มีลูกชาย 1 คนอายุ 11 ปี และเคยมีลูกสาวเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งตั้งแต่ลุงเข้ามาอยู่เมืองไทย ลูกสาวคนนี้จะดูแลพ่อแม่โดยตลอด เมื่อ 2 ปีที่แล้วจู่ ๆ ชีวิตของลุงก็มืดมนด้วยเมฆแห่งความเศร้าสลดโดยไม่คาดคิด เมื่อลูกสาวมีครอบครัวไปและได้ตั้งท้องตอนที่คลอดลูกทำให้ลูกสาวของลุงเสียชีวิต ลุงรู้สึกห่อเหี่ยวไม่มีเรี่ยวแรงและไม่มีอะไรมาพัดเมฆก้อนนั้นออกไปได้ ลุงจมปลักอยู่กับความรู้สึกที่ท้อแท้สิ้นหวัง และลุงไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปอีกทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร ภรรยาของลุงต้องดูแลหลานที่คลอดออกมา และมีลูกชายอีกหนึ่งคนปัจจุบันอายุ 11 ปี และลุงเองก็เป็นอัมพาตลุกเดินไม่ได้ ภรรยาของลุงไม่ได้ทำงาน ไม่มีญาติที่จะพึ่งพาได้แม้แต่คนเดียว เขาอยู่กันอย่างลำบาก ลูกชายอายุ 11 ปี ต้องตัดสินใจไปหางานทำเพื่อหารายได้ ได้วันละประมาณ 50 บาท น้องเขาต้องตื่นแต่เช้าโดยที่ไม่ต้องรอให้แม่เรียกเขาเดินไปที่ตลาดไปช่วยแม่ค้าในตลาดขายผักตั้งแต่เช้า - เย็นทุกวัน  สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เด็กน้อยจะทำให้พ่อและแม่ได้ ลุงหมดหวังในการที่จะรักษาตังเองนั่งอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนมาเป็นเวลา 7 ปี เพราะลุกเดินไม่ได้ ภรรยาของลุงเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวของลุงฟังด้วยน้ำตาเราเห็นภาพนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เราบอกกับตัวเองว่าถึงแม้ว่าจะทำให้ลุงกลับมาหายเป็นปกติไม่ได้แต่เราจะทำให้ลุงเดินให้ได้นั้นเป็นความตั้งใจของเรา  

                    หลังจากนั้นเราก็ได้ไปปรึกษากับหัวหน้าของเราและลงไปเยี่ยมลุงกับป้าที่บ้าน ลุงกับป้าเจอเราอีกครั้งเขาก็ดีใจมากจนน้ำตาไหลออกมา เขานึกว่าเราจะไม่ไปเยี่ยมเขาอีก ลุงกับป้ายิ้มทั้งน้ำตาที่ได้เห็นเราไปเยี่ยมเขาและให้ความสำคัญกับเขา ทุกอย่างที่เราทำ เช่น การพูดคุยให้กำลังใจ การรักษาและแนะนำในเรื่องการควบคุมอาหาร เขาทำตามทุกอย่างที่เราแนะนำเขา ลุงเป็นความดันโลหิตสูง BP 160/100 เราได้นัดให้พบกับทีมแพทย์ของเราที่ลงมาตรวจประจำเดือน ลุงไม่มีเงินที่จะไปพบกับทีมแพทย์ ทางเราก็จัดหาเช่ารถมอเตอร์ไซต์เพื่อที่ลุงจะได้พบกับทีมแพทย์ ทีมแพทย์ได้ตรวจดูอาการแล้วบอกว่าลุงเขาสามารถที่จะเดินได้โดยการสอนการทำกายภาพบำบัดและใช้ Walker และพาลุงไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาความดัน เราจึงไปทำกายภาพให้ลุงที่บ้านทุกวัน พอวันไหนที่เราติดคนไข้ที่หน่วยปฐมพยาบาลทำให้เราไปช้า ลุงก็จะนั่งรอมองออกไปตรงปากซอยทางเข้าบ้าน ลุงจะมีอาการเหม่อลอยเศร้าหมองแบบเห็นได้ชัด  ทุกครั้งที่เราไปทำกายภาพให้ลุง เขาจะถามเราตลอดว่าเขาจะมีโอกาสที่จะเดินได้อีกไหม ทางเราก็จะถามลุงว่าอยากจะเดินได้ใช่ไหม ลุงก็จะบอกว่าเขาต้องการที่จะเดินได้และสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างก็พอ เราได้บอกเขาว่าตราบใดที่ฟ้ายังมีตะวันถ้าลุงไม่ท้อแท้สิ้นหวังลุงก็สามารถที่จะเดินได้อยู่แล้วพวกเราจะคอยเอาใจช่วย เราจำได้ว่าวันหนึ่งเราได้ไปเยี่ยมบ้านตามปกติ เขาเตรียมซื้อขนมจีนให้เราทั้ง ๆ ที่เขาไม่ค่อยมีเงิน เขาอยากให้เรากิน แต่เราไม่ชอบกิน เราจึงบอกกับลุงว่าลุงเก็บไว้กินกันเองเถอะ  เราเห็นสีหน้าของลุงเมื่อเราพูดอย่างนั้นลุงมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ เราก็เลยกินให้เขาทั้งที่เราไม่ชอบกิน แต่ที่เราทำแบบนั้นก็เพราะเราอยากเห็นลุงมีความสุข มีรอยยิ้ม และมีอยู่ครั้งหนึ่งเราไปทำกายภาพให้ลุงที่บ้านเหมือนเคย ลุงมีอาการเหนื่อย ลุงเขาคงจะรู้อาการของตัวเองจึงบอกกับเราว่าขอบคุณลูกทั้งสองนะที่ตั้งใจทำเพื่อลุงด้วยความอดทนและความรัก การพูดปลอบโยนและการให้กำลังใจ สิ่งเหล่านี้นอกจากภรรยาลุงแล้ว ลุงไม่เคยได้รับจากใครมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ลุงบอกกับเราว่าเขาไม่มีอะไรเลยที่จะให้เรา ลุงมีรูปถ่ายแค่ใบเดียว ให้เราเอาไปถ่าย Copy กันคนละรูป ตอนนั้นลุงเขาหารูปไม่เจอลุงเลยไม่ได้ให้เรา

                หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดก็มาถึงเมื่ออาทิตย์นั้นเรายุ่งอยู่กับคนไข้ที่ต้องส่งโรงพยาบาล เราไม่ค่อยมีเวลาไปหาลุง แต่วันที่เราไปเยี่ยมลุง เราเห็นลุงอยู่ในสภาพแบบไม่ค่อยมีสติวูบเงียบไปประมาณ 20 นาที ลุงมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เกร็ง พูดไม่ได้ เราวัดความดันดูอยู่ที่ 140/90 ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ เราจับชีพจรและฟังการหายใจไม่ปกติ เราพยายามจัดท่านอนให้ลุงเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น เรามองไปข้าง ๆ แล้วเห็นภรรยาและลูกร้องไห้ด้วยความตกใจ เราพยายามดูอาการของลุงจนหายใจได้ดีขึ้น แต่ตอนนั้นลุงจำเหตุการณ์ได้บ้างไม่ได้บ้าง ภรรยาถามลุงว่าจำลูกสองคนได้หรือไม่ที่มาทำกายภาพให้ทุกวันไง ลุงพยายามที่จะตั้งสติแล้วมองเราพอเขาจำเราได้เขานึกขึ้นได้ทันทีให้ภรรยาไปเอารูปถ่ายที่เตรียมเอาไว้มาให้เรา และลุงก็พูดกับเราว่าถึงแม้พรุ่งนี้จะเป็นยังไงลุงอยากให้ลูกทั้งสองเก็บรูปนี้เอาไว้เพราะว่าลุงไม่มีอะไรจะให้ เราได้กอดแขนลุงและพูดทั้งน้ำตาว่าสิ่งที่เราทำกับลุงทั้งหมดไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนอะไรไม่ได้หวังสิ่งใด ๆ จากลุงมีเพียงอย่างเดียวที่ลุงอยากเห็น คือการเห็นลุกขึ้นมายืนและเดินได้อย่างที่ลุงหวังเอาไว้ เพียงแค่นี้เราก็สุขใจแล้ว ทุกครั้งที่ทีมแพทย์ลงมาตรวจประจำเดือนเราจะพาลุงไปพบกับทีมแพทย์ เมื่อลุงได้เห็นคนไข้คนอื่น ๆ  เขาจึงบอกกับเราว่า คนอื่น ๆ ก็มีปัญหาเช่นเดียวกันกับเขาทำให้ลุงเขารู้สึกดีขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ที่ลุงยังไม่รู้จักกับเราลุงอยู่แต่ในบ้านเขาไม่รู้จักโลกข้างนอกเขารู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยเป็นภาระของครอบครัว เขาคิดอยู่ในใจเสมอว่าตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปตอนนี้ถึงแม้ว่าลุงจะยังเดินไม่ได้อาการของลุงก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะลุงเขามีกำลังใจที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งสิ่งที่เราทำให้ลุงนั้นทำด้วยความรักความเอาใจใส่ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแบบนักบุญคามิลโลไม่ได้แต่เราก็พยายามเป็นเหมือนแสงเทียนในความมืด ถึงแม้แสงนั้นอาจจะเปรียบเทียบกับแสงตะวันไม่ได้แต่อย่างน้อย ก็ทำให้คนคนหนึ่งได้มองเห็นรอบตัวแล้วก็ไม่กลัวอะไรอีก

          สุดท้ายนี้อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านเรื่องเล่าในครั้งนี้ ถ้าหากว่าท่านมีญาติผู้ใหญ่ที่มีอายุมากแล้วอย่าลืมพาท่านไปตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อที่จะไม่ให้ท่านเกิดโรคหรือเป็นอะไรที่ร้ายแรงกับครอบครัวของท่านอีกต่อไป

 

                                             ขอขอบคุณทุกท่านและขอให้พระเจ้าอวยพรท่านเสมอไป

                                                                   ด้วยความปรารถนาดี

                                                                     คุณน้ำหอม  จะบ้ง  

                                 เจ้าหน้าที่โครงการหน่วยปฐมพยาบาลฯ คามิลเลียน  โซเชียล  เซ็นเตอร์  ระนอง

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 273158เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2009 14:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 07:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท