ยังยิ้มได้..
ท้าวความก่อน
วันที่ 21 ตุลาคม 2551 เป็นวันแรกที่ฉันได้รับรู้ข้อมูลของครอบครัวๆหนึ่ง อาศัยอยู่กันเพียงลำพังสามคน แม่ลูก สามีซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไปเมื่อ 1 ปีก่อน ซึ่งข้อมูลที่ได้รับในวันนั้นเป็นเพียงภาพเด็กคนหนึ่งที่มีคนบอกว่าเขาอายุ 8 ย่าง 9 ปีแล้ว แต่ร่างกายของเขาดูเหมือนเป็นเพียงเด็กอายุแค่ 3-4 ขวบเท่านั้นเอง ตัวเขาเล็กมาก จากรูปที่เห็น ซึ่งถ่ายโดยจนท.ของรพ.เชียงม่วนท่านหนึ่ง ฉันยังไม่เคยเห็นเขาตัวเป็นๆเลยสักครั้ง รู้แต่เพียงว่าครอบครัวนี้ต้องอยู่อย่างยากลำบาก กับบ้านที่มีสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก
จากนั้นอีกไม่กี่วัน หัวหน้าพยาบาลมาหาฉันแล้วมอบหมายให้ฉันไปเยี่ยมครอบครัวนี้และหาข้อมูลมาเพื่อหาทางช่วยเหลือครอบครัวนี้ต่อไป เพราะช่วงนี้ฉันต้องออกไปช่วยงานที่สถานีอนามัยแทบทุกอาทิตย์อยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังนึกภาพจริงๆของเขาไม่ออกหรอกว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากขนาดไหน หรือไม่ก็อาจเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกพิการด้วยสีหน้าที่แบกความทุกข์ไว้ตลอดเวลาหรือไม่ เพราะการจากไปของสามีเมื่อ 1 ปีก่อน อาจทำให้สภาพครอบครัวย่ำแย่ลง
เล่าประวัติโดยย่อ
นางดำ เกิดวันที่ 2 มีนาคม 2506 ภูมิลำเนาจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุ 45 ปี แต่งงานแล้ว มีลูกชายสองคน คนโตอายุ 11 ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้นป.6 ในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ลูกชายคนเล็กอายุ 8 ขวบ มีสภาพพิการทางสมอง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนสามีนางดำเป็นคนเชียงม่วนโดยกำเนิด ไปทำงานต่างจังหวัด และพบรักกัน จากนั้นมีลูกด้วยกัน 2 คน ก่อนย้ายมาอยู่ที่เชียงม่วนและปลูกบ้านอยู่ด้วยกัน ก่อนที่สามีนางดำจะจบชีวิตด้วยการผูกคอตายไปเมื่อ 1 ปีก่อน ทิ้งนางดำและลูกๆอยู่กันเพียงลำพัง
ข้อมูลจากคนรอบข้าง
หัวหน้าสถานีอนามัย เล่าให้ฟังว่า นางดำเป็นคนขยันขันแข็ง รับจ้างทั่วไป ถ้าไปรับจ้างก็จะพาลูกที่พิการไปด้วย เป็นที่เห็นใจของเพื่อนบ้าน หากมีอะไรที่พอแบ่งปันกันได้ เพื่อนบ้านก็จะนำมาช่วยเหลือ นางดำมีญาติพี่น้องอยู่ต่างจังหวัด (อุบลราชธานี) บางทีถ้าญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดมีเงินก็จะส่งมาให้นางดำกับลูกๆ เป็นระยะๆ
หัวหน้าสถานีอนามัยได้เล่าถึงนายควัญ ซึ่งเป็นสามีของนางดำว่า ขณะยังมีชีวิตอยู่นายควัญเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ถ้าภรรยาพาลูกมาฉีดวัคซีนหรือมารับยาคุมกำเนิด นายควัญจะมาส่งด้วยตนเองทุกครั้ง ทั้งที่ถ้าให้นางดำมาที่สถานีอนามัยเองก็ได้ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นที่พักหลังๆ (ก่อนนายควัญจะเสียชีวิต) นายควัญกลายเป็นคนขี้เหล้าเมายา ถ้าเมามาเมื่อไหร่ก็จะอาละวาดทำร้ายภรรยาอยู่บ่อยครั้ง จนเมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม 2549 นายควัญคิดที่จะฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่สำเร็จ มีคนไปเห็นและช่วยเหลือไว้ได้ 1 ปีหลังจากการคิดฆ่าตัวตายครั้งแรก นายควัญยังคงอยู่กับภรรยาและลูก แต่เมื่อครบหนึ่งปี วันที่ 1 ตุลาคม 2550 นายควัญคิดฆ่าตัวตายอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยการผูกคอตาย ทิ้งให้นางดำอยู่ดูแลลูกๆเพียงลำพัง
พี่เพ็ญ คนงานที่สถานีอนามัยเล่าให้ฟังว่า หลังการจากไปของนายควัญ นางดำต้องอยู่กับลูกที่คนโตกำลังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงชั้นประถมศึกษาที่ไม่ต้องเสียค่าเทอมเรียน แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ และซื้อหนังสือหนังหาบ้าง ถ้ามีงานอะไรที่นางดำพอจะทำและพาลูกคนเล็กที่พิการไปทำงานด้วยได้ นางดำจะไปรับจ้างตลอด โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ลูกคนโตไม่ต้องไปโรงเรียน ก็จะให้ดูแลน้อง ส่วนนางดำก็จะตระเวนรับจ้างไปทั่ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีคนมาว่าจ้างเสมอเพราะนางดำเป็นคนขยันนั่นเอง
เมื่อเราได้เจอกัน
ในที่สุดฉันก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมครอบครัวนี้ ซึ่งนึกภาพไว้ไม่ออกเลยว่า เขาจะอยู่กับแบบไหน สภาพบ้านที่เห็นเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงประมาณ 2 เมตรครึ่ง ฝาบ้านตีล้อมด้วยแผ่นไม้แต่มีไม่ครบทุกด้าน บนบ้านมีห้องนอนเพียง 1 ห้อง ที่ดูจะปิดมิดด้วยแผ่นไม้ทั้งสี่ด้าน นอกนั้นตัวบ้านก็เหมือนกับเพิงโล่งคล้ายกับที่เราเคยเห็นตามทุ่งนาทั่วไป เพียงแต่ยกพื้นสูงกว่าเท่านั้นเอง
เมื่อไปถึง (ฉันกับจนท.สอ.คนนึง) เราก็ได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ นั่นคือภาพแม่ลูกคู่หนึ่งที่กำลังพูดเล่นคุยกันอย่างมีความสุข ถึงแม้ลูกชายจะพูดไม่ได้ก็ตาม พอทั้งสองเห็นเราก็หันมายิ้มให้ เรายิ้มและทักทายทั่วไปก่อนจะขออนุญาตขึ้นไปบนบ้าน นางดำและลูกดูจะคุ้นชินกับการต้อนรับคนแปลกหน้าผู้มาเยือน ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันก็ได้ข้อมูลมาว่ามีหน่วยงานเทศบาลเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวนี้อยู่ครั้งหนึ่ง ด้วยการต่อเติมบ้านให้ แต่พอหันไปมองรอบๆก็ไม่เห็นว่ามันจะดีสักเท่าใด อาจจะพอกันลมกันฝนได้บ้างเท่านั้น ส่วนลูกชายคนเล็กที่พิการก็ได้เงินช่วยเหลือจากเทศบาลเดือนละ 500 บาท แต่5-6 เดือนจึงจะไปรับมาได้ทีนึง ซึ่งเงิน 500 บาทต่อเดือนคงไม่เพียงพอที่จะให้แม่ลูกทั้งสามคนอยู่กินกันได้ นางดำจึงต้องออกไปรับจ้างนอกบ้านเป็นประจำ
นางดำเล่าให้เราฟังว่า เมื่อก่อนตอนอยู่กันสี่คนพ่อแม่ลูกก็ไม่ค่อยลำบากมาก เพราะสามียังทำงานหาเลี้ยงได้ แต่พอสามีจากไปแล้ว หน้าที่ทั้งหมดก็ตกเป็นภาระของนางดำเพียงคนเดียว แต่นางดำบอกว่าตนยังโชคดีที่ลูกชายคนโตเป็นคนขยัน แม้จะเรียนในระดับปานกลาง แต่เลิกเรียนมาก็ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง บางทีก็ออกไปรับจ้างด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องพาลูกชายคนเล็กที่พิการไปด้วย อีก 2-3 วันนี้ (วันเสาร์อาทิตย์ที่จะมาถึง) นางดำและลูกก็ต้องไปเกี่ยวข้าวของตนเอง ซึ่งเป็นที่นาของสามีทิ้งไว้ให้จำนวน 3 ไร่เล็กๆ ก็จะค่อยเก็บเกี่ยวกันไป เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะปกตินางดำต้องอยู่บ้านดูแลลูกคนเล็ก จึงไม่ได้ไปช่วยคนอื่นเพื่อเอาแรงกันไว้ (อย่างที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “เอามื้อกัน” ) ที่นาก็มีเพิงเล็กๆ มีที่ที่จะไปแขวนเปลนอนให้ลูกคนเล็กอยู่ ขณะที่ตนกับลูกคนโตทำงาน
นางดำบอกว่าคงอยู่ที่เชียงม่วนอีกไม่นาน เพราะพี่ที่บวชเป็นพระอยู่จังหวัดน่าน บอกให้ตนพาลูกคนเล็กกลับไปอยู่ที่อุบลฯ ส่วนลูกคนโตจะให้บวชเรียนด้วยกันที่จังหวัดน่าน ซึ่งต้องรอให้ลูกคนโตเรียนจบป.6นี้ก่อน ก็คงประมาณกลางปีหน้าจึงจะพากันย้ายไป ที่อุบลฯ ก็มีญาติพี่น้องอยู่บ้าง นางดำมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน นางดำเป็นคนที่ 3 แต่พี่น้องแต่ละคนก็แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว หากกลับไปอยู่ที่อุบลฯจริง ก็คงต้องไปขออาศัยเขาอยู่ก่อน นางดำเล่าว่า เมื่อก่อนตอนที่แต่งงานกับนายควัญใหม่ๆ ก็พากันไปปลูกบ้านทำมาหากินอยู่ที่อุบลฯ แต่ในที่สุดก็ขายบ้านขายที่ดินที่โน่น ย้ายมาปลูกบ้านใหม่ที่เชียงม่วนด้วยกัน ซึ่งถ้ากลับไปอยู่ที่อุบลฯ ก็คงจะขายบ้านและที่ดินปัจจุบันอีกเหมือนกัน เพราะไม่มีสมบัติอื่นอีก
ระหว่างการสนทนาของเราลูกชายคนเล็กของนางดำก็มองเราอยู่ตลอด นางดำบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง เวลาเราพูดอะไรเขาก็เข้าใจ เพียงแต่เขาพูดไม่ได้เท่านั้นเอง ว่าแล้วนางดำก็หันไปพูดกับลูกชายของตนเป็นพักๆ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแววตานั้นทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูกอย่างมากมาย เราเห็นแบบนั้นก็อดชื่นชมเสียมิได้ จนต้องถามนางดำถึงที่มาที่ไปว่าทำไมลูกชายคนเล็กของเธอจึงมีสภาพแบบนี้
นางดำได้เล่าให้เราฟังว่า ตอนคลอดลูกคนเล็กก็คลอดที่โรงพยาบาล หลังคลอดเขาก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร จนวันนึงที่ลูกคนเล็กของเธอป่วย เป็นไข้ เธอจึงพาไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่ง และได้ฉีดยาลดไข้ให้เด็ก 1 เข็ม แล้วกลับไปบ้าน ตกเย็นลูกคนเล็กของเธอมีอาการไข้สูงและมีจุดดำแดงที่ผิวหนังตามตัว จึงพาไปรักษาโรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งหมอโรงพยาบาลอำเภอก็ส่งตัวลูกของเธอเข้าโรงพยาบาลจังหวัดอุบลราชธานีอีก เธอไม่รู้ว่าลูกเธอเป็นอะไร หมอถามแต่ว่าทำไมพาลูกมาช้าขนาดนี้ จากนั้นลูกของเธอก็มีอาการชักเกร็งบ่อยครั้ง และพูดไม่ได้จนถึงปัจจุบัน
เราขออนุญาตถามถึงความรู้สึกของนางดำว่ารู้สึกอย่างไร เธอบอกว่าตอนแรกๆก็เครียดอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ชินแล้ว ทำใจได้แล้ว อย่างไรเขาก็เป็นลูกของเรา
น่าสังเกตว่าขณะที่เธอเล่าถึงเรื่องราวของเธอนั้น แม้จะไม่ได้หัวเราะกับมัน และเรื่องเล่าจะน่าเศร้าสำหรับคนฟังสักเพียงใด แต่เธอดูเป็นคนเข้มแข็งมาก และไม่คิดท้อแท้ที่จะดูแลลูกๆของเธอต่อไป การพูดคุยเล่นกับลูกของเธอดูสนุกสนาน คล้ายกับว่ามีการสนทนาโต้ตอบกันจริงๆระหว่างแม่ลูก นั่นทำให้เรารู้สึกประทับใจกับรอยยิ้มสู้ชีวิต ที่แม้จะผ่านเรื่องร้ายๆมา แต่เธอก็ยังยิ้มได้..
ก่อนกลับ เรานำยานอนหลับที่ใช้รักษาอาการชักเกร็งลูกของเธอที่เราเตรียมไว้ให้ พร้อมทั้งให้กำลังใจเธอและลูกๆ ทุกวันนี้นางดำยังคงต้องอยู่ดูแลลูกคนเล็กที่พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการป้อนข้าว จนถึงดูแลเรื่องความสะอาด นางดำและลูกๆต้องอยู่ลำพังในบ้านที่มีสภาพไม่ค่อยทนฝนทนหนาวสักเท่าไหร่ อีกทั้งไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวนอกเหนือจากเงินผู้พิการเดือนละ 500 บาทของลูกชายคนเล็กเท่านั้น ถึงแม้จะพอไปทำงานรับจ้างได้บ้างแต่เดือนหนึ่งก็ไปได้ไม่กี่ครั้ง เนื่องจากต้องรอให้เป็นวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อจะให้ลูกชายคนโตช่วยดูลูกชายคนเล็กให้ สามชีวิตที่ต้องต่อสู้กันเพียงลำพังแม่ลูก จะต้องสู้ชีวิตดิ้นรนกันต่อไป ..
อ่านแล้ว..รู้สึกดีๆกันบ้างไหมคะ??
เพราะแม้ชีวิตคนเราจะเลือกเกิดไม่ได้
แต่การยิ้มให้กับชีวิตในแต่ละวันนั้น
มันคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขใช่ไหมคะ??