ไปอ่านข้อมูลจากบล็อคของท่านอัยการชาวเกาะแล้วรู้สึกชอบมากๆ เลยขอหยิบยกบางตอนมาใส่รวบรวมไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
ถึงเวลาที่ ดร.สุกรี เจริญสุข จะบรรยายให้เราฟังถึง “ดนตรีสื่อสันติสุข” ท่านเล่าให้เราฟังหลายเรื่อง แค่เรื่องเพลงหรือดนตรีที่ถูกมองในแง่ลบ คนโบราณมองนักดนตรีเป็นเพียงผู้รับใช้ ดูถูกดูแคลนอาชีพ แม้แต่ในเรื่องศีลก็ยังห้ามชมการแสดงหรือฟังเพลง ...
ดร.สุกรี พูดให้ฟังถึงความเจ็บปวดว่าจะทำปริญญาเอกทางด้านแคนต้องไปทำที่ต่างประเทศโน่น แต่เดี๋ยวนี้ดีแล้วในมหาวิทยาลัยมหิดลก็มีสอนถึงระดับปริญญาเอกแล้ว ครูผู้สอนเป็นมือแคนมือหนึ่งท่านตาบอด ดร.สุกรี เล่าให้ฟังว่า เสียงแคนมีพลังมาก สามารถกล่อมสรรพสิ่งได้ ท่านให้ดร.ทางแคนเป่าแคนเพลงลาวแพนให้ฟัง เล่นเอาผมเคลิ้มเลย ถือโอกาสเดินไปถ่ายรูปหันไปดูหลวงพี่ติ๊กยังเก็บอาการแต่ผมว่าท่านไม่ปล่อยอารมณ์ไปกับแคนแน่นอน เพราะต้องการเรียนรู้ว่าดนตรีจะสื่อสันติสุขได้อย่างไร
แต่เสียงเพลงก็ยังต้องเผชิญกับการห้ามไม่ให้แอ่วลาวเป่าแคนในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทำให้นักดนตรีต้องหนีไปอยู่แถวราชบุรี เมื่อเขาไม่ให้เป่าแคนก็เอาเพลงแคนไปเล่นด้วยซอ ท่านก็ให้สุดยอดฝีมือซอมาเดี่ยวซอให้เราฟังในเพลงลาวแพน เพลงเดิมนั่นแหละแต่บรรเลงด้วยซอ สำเนียงซอคมชัด และบางตอนเลียนเสียงแคนได้เหมือนด้วย ผมก็ชอบอีกนั่นแหละ
จากนั้น ดร.สุกรี ก็พูดถึงกลองแขกที่ตีให้จังหวะในการบรรเลงเพลงว่าเดิมมาจากอินเดียเป็นกลองที่ใช้ทำพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย แต่ต่อมาก็นำมาใช้ที่สุโขทัยเพราะเห็นว่าสุโขทัยเป็นราชธานีจึงเอากลองไปทำพิธีกรรมจนในที่สุดก็มีการนำเอามาประกอบดนตรี
ดนตรีที่ท่านนำมานำเสนอพวกเราความจริงอาจารย์ ดร.สุกรี จะนำวงซิมโฟนีมาให้ฟังแต่ติดงาน ท่านบอกว่าไม่งั้นจะให้บรรเลงดาวดวงเดือน ดาวดาวอังคาร และดาวดวงอาทิตย์ ให้ฟังเพื่อให้รู้ว่าความงามของเพลงไทยเดิมที่นำมาบรรเลงแบบฝรั่งมันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อย่างไร แต่ไม่เป็นไรนักดนตรีที่มาบรรเลงให้ฟังในวันนี้ก็สุดยอดฝีมือทั้งนั้น มือจะเข้ที่นำมาบรรเลงวันนี้นักศึกษาเรียกมือจะเข้ร๊อค และเล่นเพลงเดิมคือลาวแพน แต่สำเนียงจะเข้เหลือร้ายจริงๆ ผมเสียดายเวลาแทบไม่อยากไปทานข้าวอยากจะซึมซับฝีมือระดับพระกาฬ เสียดายถ้าน้องจิได้มาเรียนกับมือจะเข้ร๊อค เชื่อว่าฝีมือจะพัฒนาไปอีกมาก...
ดร.สุกรี บอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราท่านได้ตรัสไว้ว่า “ดนตรีช่วยขจัดความเจ็บปวดระหว่างวัน”
ดนตรีทำให้เกิดความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น แม้คนป่วยได้ฟังดนตรีจะช่วยให้ความไม่สบายบรรเทาเบาบางลงไปได้ การร้องเพลงคาราโอเกะก็เป็นการเอาความเจ็บปวดออกมาทางเสียง แต่ผมว่าเสียงบางคนทำให้คนอื่นป่วยนะสิ อิอิ
ศตวรรษต่อไปจะเป็นศตวรรษของความมืดและความเงียบ เพราะคนจะหันเข้าหาธรรมชาติมากขึ้นเพราะดนตรีมันอยู่ในจักรวาล ดิน น้ำ ลม ไฟ ในธรรมชาติ ดนตรีที่อยู่ในมนุษย์ เพราะมนุษย์มีช่วงจังหวะของชีวิต กับดนตรีที่ออกมาจากเครื่องดนตรี ดนตรีจึงสื่อถึงสันติสุขได้ เพราะเรารับอารยะธรรมทางดนตรีกันได้ เคยสังเกตไหมว่าเพลงไทยเดิมมีแต่ชื่อลาว ญวณ พม่า ฯลฯ ไม่มีชื่อเป็นไทยเลย ท่านสรุปว่า ดนตรีเป็นรสนิยมของชาติ เป็นหุ้นส่วนของชีวิต และเป็นหุ้นส่วนของสังคม
ที่มาของเรื่องและภาพ: http://gotoknow.org/blog/islandpk/191272
ขอบคุณที่เห็นความสำคัญของศิลปะ ดนตรีและความบันเทิง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้จิตใจมีความสงบสุขครับ
โห ท่านอัยการมาเยี่ยมถึงบล็อคเองเลย
กราบสวัสดีค่ะ ท่าน
แล้วแอมมี่จะไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ ค่ะ